อัปเดตสิทธิลดหย่อนปี 65 เทคนิควางแผนภาษีให้คุ้มค่า
บุคคลที่มีรายได้ทุกคนมีหน้าที่ต้องเสียภาษี ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เงินเดือน ฟรีแลนซ์ หรือวัยเกษียณจำเป็นต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นประจำทุกปี ซึ่งจำนวนเงินที่ต้องเสียภาษีขึ้นอยู่กับรายได้ของแต่ละคน ยิ่งมีรายได้มากก็ต้องจ่ายภาษีมากขึ้นตามไปด้วย
ดังนั้น การวางแผนภาษีเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะช่วยให้สามารถยื่นเสียภาษีได้อย่างถูกต้องและใช้สิทธิลดหย่อนได้ครบถ้วน
โดยการเงินธนาคารได้ Update สิทธิลดหย่อนภาษีปี 2565
และรวบรวมเทคนิคการเสียภาษีอย่างถูกต้องสำหรับคนโสด อาชีพอิสระ และวัยเกษียณ
สำหรับการวางแผนประหยัดภาษีช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี
เทคนิคเสียภาษีสำหรับคนโสด
คนโสดจะไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ 4
รายการ ดังนี้ (1) ค่าลดหย่อนคู่สมรส (2) ค่าลดหย่อนฝากครรภ์และคลอดบุตร
(3) ค่าลดหย่อนบุตร (4) ค่าลดหย่อนบุตรคนที่
2 เป็นต้นไป
โดยจะสามารถหักลดหย่อนส่วนตัว
หักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา เบี้ยประกัน เงินลงทุนระยะยาว
ค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ เงินบริจาค
และสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ
โดยเมื่อหักค่าใช้จ่ายและลดหย่อนภาษีแล้วจะได้เงินได้สุทธิที่จะนำมาคำนวณภาษีตามอัตราภาษีแบบก้าวหน้าดังนี้
เทคนิคเสียภาษีสำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ
สิ่งแรกที่ผู้ประกอบอาชีพอิสระควรทราบคือประเภทรายได้ที่ตนเองได้รับ
ซึ่งจะทำให้ทราบว่าผู้ประกอบอาชีพอิสระจะต้องหักค่าใช้จ่ายและคำนวณภาษีอย่างไร
โดยมีรายละเอียด ดังนี้
โดยผู้ประกอบการอาชีพอิสระต้องรวบรวมหนังสือรับรองการหักภาษี
ณ ที่จ่าย รวมถึงใบกำกับภาษีจากงานที่ทำเอง
ซึ่งแตกต่างจากพนักงานบริษัทที่มีบริษัทคำนวณรายได้และการหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ให้
ทั้งนี้ รายได้ที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้แล้วยังต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
โดยสามารถนำภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายไว้แล้วมาหักออกจากภาษีที่ต้องชำระ
เมื่อคำนวณรายได้สุทธิและได้ฐานภาษีแล้วก็พอทราบแล้วว่ามีจำนวนเงินภาษีที่ต้องนำจ่ายเท่าไหร่
หากยังมียอดที่ต้องจ่ายภาษีสูงอยู่ ก็ต้องหาวิธีเพื่อลดหย่อนภาษี
ซึ่งสามารถทำได้ด้วยวิธีเหล่านี้
ลดหย่อนภาษีด้วยประกันชีวิต
ยังคงเป็นวิธียอดฮิตที่ทั้งพนักงานบริษัทหรือฟรีแลนซ์มักเลือกใช้สำหรับใช้สิทธิลดหย่อนภาษี
เพราะได้ประกันความเสี่ยงไปด้วย ได้ออมเงินด้วย และยังได้ลดหย่อนภาษีไปด้วย
ลดหย่อนภาษีด้วยการลงทุนใน LTF หรือ
RMF ผลประโยชน์ของการลงทุนใน LTF และ
RMF นอกจากจะช่วยเรื่องออมเงิน
และลดหย่อนภาษีได้แล้ว เมื่อขายหน่วยลงทุนคืนยังไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย
ผู้ประกอบการอาชีพอิสระควรวางแผนเรื่องภาษีอย่างดีและรอบคอบ
เพราะหากวางแผนภาษีอาจจะมีผลต่อการเรียกจ่ายภาษีย้อนหลังได้
เทคนิคเสียภาษีสำหรับวัยเกษียณ
สำหรับผู้เกษียณอายุ
จะมีประเด็นภาษีที่เกี่ยวกับเงินได้ที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงานเช่นเดียวกับคนวัยทำงาน
อย่างไรก็ดี ผู้เกษียณอายุมักจะได้รับเงินก้อนจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
ซึ่งหากผู้เกษียณอายุได้รับเงินดังกล่าวเมื่อมีอายุครบ 55
ปีบริบูรณ์และเป็นสมาชิกกองทุนครบ 5 ปี
จะได้รับยกเว้นภาษีสำหรับเงินที่ได้รับดังกล่าวทั้งจำนวน
ทั้งนี้ ภายหลังเกษียณอายุแล้ว
รายได้ที่ผู้เกษียณอายุจะได้รับส่วนใหญ่จะเกิดจากรายได้ 2
ประเภทได้แก่ รายได้จากการลงทุน
และรายได้อื่นซึ่งเป็นประโยชน์จากการทำงานหรือสวัสดิการภาครัฐซึ่งมีประเด็นภาษีที่เกี่ยวข้องดังนี้
1.1 รายได้จากการลงทุน
(1) ดอกเบี้ยเงินฝากประจำที่มีระยะเวลาการฝากตั้งแต่
1 ปีขึ้นไป
แต่เมื่อรวมกับดอกเบี้ยเงินฝากประจำทุกประเภทแล้วไม่เกิน 30,000
บาท โดยได้รับดอกเบี้ยดังกล่าวเมื่อมีอายุตั้งแต่ 55
ปีขึ้นไป ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
(2) ดอกเบี้ยประเภทอื่น
(เช่น หุ้นกู้ เงินฝากประเภทอื่น) เงินปันผลจากหุ้น หรือกองทุนรวมต่างๆ
โดยสามารถเลือกไม่นำมารวมคำนวณภาษีอีกหรือยอมให้หักภาษีไว้ตอนจ่าย
ซึ่งหากเป็นดอกเบี้ยจะถูกหักไว้ 15% และหากเป็นเงินปันผลจะถูกหักไว้ 10%
(3) เงินตอบแทนคืนจากประกันชีวิตแบบบำนาญ
สำหรับผู้ที่ทำประกันชีวิตแบบบำนาญเมื่อได้รับเงินจ่ายคืนจากประกันชีวิตแบบบำนาญ
เงินได้ส่วนนี้จะได้รับยกเว้นภาษี
(4) กำไรจากการขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหรือหุ้นหากเป็นการขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมทั่วไป
หรือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะได้รับยกเว้นภาษีจากกำไรจากการขาย (Capital
Gain) อย่างไรก็ดี กรณีเป็นการขายหน่วยลงทุน RMF
จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดเท่านั้น
ส่วนการขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะไม่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีจาก Capital
Gain
1.2 รายได้อื่นซึ่งเป็นประโยชน์จากการทำงานหรือสวัสดิการภาครัฐ
(1) เงินบำนาญต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
โดยกรมบัญชีกลางจะคำนวณและหักภาษีไว้ทุกเดือน (หากเงินได้ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี)
โดยสามารถนำภาษีที่ถูกหัก ณ
ที่จ่ายไว้มาหักออกจากภาษีที่ต้องชำระซึ่งหากชำระไว้เกิน
ก็สามารถแจ้งความประสงค์ขอคืนเงินภาษีได้
(2) บำเหน็จหรือบำนาญชราภาพประกันสังคม
และบำเหน็จดำรงชีพตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีทั้งจำนวนหากเป็นไปตามเงื่อนไข
(3) เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
ไม่ได้รับยกเว้นภาษี
(4) เงินได้อื่นจากการทำงาน
หากมีเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 1 (เช่น เงินเดือน โบนัส) เกินกว่า 120,000
บาทต่อปี หรือหากมีเงินได้พึงประเมินประเภทอื่นเกินกว่า 60,000
บาทต่อปี ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา อย่างไรก็ดี
ถ้ามีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป
ก็จะได้รับสิทธิยกเว้นเงินได้พึงประเมินจำนวน 190,000
บาทแรก
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ขอคืนได้
นายจ้าง มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย
จากรายได้หรือเงินเดือนที่จ่ายให้กับพนักงาน
ซึ่งโดยปกติจะคาดการณ์ภาษีเงินได้ที่พนักงานต้องจ่ายให้สรรพกรโดยคำนวณจากข้อมูลเท่าที่รู้
ได้แก่ (1) รายได้ เช่น เงินเดือน โบนัส ค่าจ้างต่างๆ
ที่บริษัทจ่ายให้แก่พนักงาน และ (2) ค่าลดหย่อน เช่น ลดหย่อนส่วนตัว
เงินสมทบประกันสังคม และเงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เท่านั้น
โดยภาษีที่คำนวณและหักไป
กับภาษีที่พนักงานแต่ละคนต้องจ่ายให้สรรพากรอาจตรงหรือไม่ตรงกันก็ได้
และพนักงานทุกคนมีหน้าที่ต้องยื่นภาษีเงินได้ในช่วง ม.ค.-มี.ค.
ของทุกปีไม่ว่าจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไปเท่าไรก็ตาม
ซึ่งโดยทั่วไปสำหรับคนที่ไม่มีการใช้สิทธิลดหย่อนอื่น
เช่น คนโสด ไม่มีการผ่อนบ้าน ไม่มีการซื้อประกัน กองทุน SSF กองทุน
RMF ภาษีที่หักไว้รวมทั้งปีมักเท่ากับภาษีที่คำนวณได้ตอนที่ยื่นกับสรรพากร
ทำให้คนวัยเริ่มต้นทำงานช่วงแรกๆ มักไม่มีการจ่ายภาษีเพิ่มหรือขอภาษีคืน
ดังนั้น จึงเป็นความเคยชินหรือเข้าใจผิดว่า
เมื่อนายจ้างหักภาษีเงินได้ส่งสรรพากรไปแล้วก็ไม่จำเป็นต้องวางแผนภาษีอีก
ทั้งที่ในความเป็นจริงสำหรับคนที่มีค่าลดหย่อนอื่นอยู่ หรือมีการวางแผนภาษี
จะสามารถขอคืนภาษีทั้งหมดหรือบางส่วนที่ถูกหักไปได้ส่วนจะขอคืนภาษีได้เท่าไรก็ขึ้นกับรายได้หรือฐานภาษีแต่ละคน
ดังนั้น
ยิ่งใครมีค่าลดหย่อนเยอะก็สามารถขอคืนภาษีได้มากขึ้น
โดยนำค่าลดหย่อนที่มีไปกรอกพร้อมกับรายได้ที่ได้รับทั้งปีตอนยื่นภาษีในช่วง
ม.ค.-มี.ค. ของปีถัดไป เพื่อคำนวณภาษีที่ต้องจ่ายสรรพากร
และเปรียบเทียบกับภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายไป ว่ามีจำนวนเงินภาษีที่ถูกหักเกินไปเท่าไร
เพื่อทำการขอคืนจากสรรพากรได้