ตลท.เปิดข้อมูลหุ้นยั่งยืน ทุกเจนเนอเรชั่นมีติดพอร์ต
เปิดพอร์ตนักลงทุน 9 แสนคน พบ 80%
ซื้อขายหุ้นยั่งยืนอย่างน้อย 1 บริษัท เช่นเดียวกับวอลุ่มเทรดเฉลี่ยสูงถึงวันละ
14,245 ล้านบาท ทุกเจเนอเรชั่นมีหุ้นยั่งยืน ยิ่งอายุมากมีแนวโน้มสนใจมากขึ้น
นักลงทุนที่มีประสบการณ์เริ่มซื้อขายมาก่อนปี 2564 สนใจและกระจายการซื้อขายในหุ้น ESG มากกว่านักลงทุนใหม่
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 มีบริษัทจดทะเบียนไทยที่ถือเป็นหุ้นยั่งยืนตามกรอบดัชนี DJSI ดัชนี
MSCI-ESG และรายชื่อหุ้น
THSI รวม
155 บริษัท โดยเป็นบริษัทในกลุ่ม SET100
และ Non-SET100
ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน
และมีการกระจายตัวในเชิงกลุ่มอุตสาหกรรมที่หลากหลายหุ้นกลุ่มนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นสอดคล้องตามทิศทางของตลาดการลงทุนโลกที่นักลงทุนใส่ใจในด้าน
ESG มากขึ้น
นักลงทุนบุคคลที่ซื้อขายหุ้นในช่วงครึ่งปีแรกมีจำนวน
9 แสนคน พบว่า ประมาณ 80% ซื้อขายหุ้นยั่งยืนอย่างน้อย 1 บริษัท
และมีมูลค่าซื้อขายหุ้นยั่งยืนเฉลี่ยสูงถึงวันละ 14,245 ล้านบาท หรือคิดเป็น 40%
ของมูลค่าซื้อขายหุ้นของนักลงทุนบุคคลทั้งหมด
หุ้นยั่งยืนเป็นที่นิยมของบุคคลในทุกเจเนอเรชั่น
โดยยิ่งสูงอายุขึ้นยิ่งมีแนวโน้มที่จะสนใจและกระจายมูลค่าซื้อขายให้หุ้นยั่งยืนมากขึ้น
อีกทั้ง พบว่านักลงทุนที่มีประสบการณ์เริ่มซื้อขายหุ้นมาก่อนปี 2564
สนใจหุ้นยั่งยืนมากกว่านักลงทุนใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาดมาในช่วง 2 ปีหลังอยู่บ้าง
ความสนใจหุ้นยั่งยืนแตกต่างกันอย่างชัดเจนในมุม
Retail Segment โดยบุคคลกลุ่ม
Fundamental Group พบว่า
มากกว่า 85% จากทุก Segment
ในกลุ่มนี้ซื้อขายหุ้นยั่งยืน
และกระจายมูลค่าซื้อขายให้สูงถึง 60-80% ขณะที่บุคคลในกลุ่ม Risk Group กระจายมูลค่าซื้อขายให้หุ้นยั่งยืนเพียง
15-25%
นักลงทุนบุคคลไทยใครสนใจหุ้นยั่งยืน
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 มีบริษัทจดทะเบียนไทย
155 บริษัท ที่ได้รับคัดเลือกเข้าเป็นองค์ประกอบในดัชนีความยั่งยืนสากลของ DJSI (DowJones Sustainability
Indices) MSCI-ESG หรือได้รับคัดเลือกเป็นหุ้นยั่งยืน THSI (Thailand Sustainability
Investment) โดยแบ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม SET100
และ Non-SET100
ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน และมีการกระจายตัวในเชิงกลุ่มอุตสาหกรรมที่หลากหลาย
ซึ่งหุ้นยั่งยืนดังกล่าวได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน
สอดคล้องตามทิศทางของตลาดการลงทุนโลกที่นักลงทุนต่างใส่ใจในเรื่องของ ESG (Environmental-Social-Governance)
มากขึ้น
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565
ตลาดหุ้นไทยมีนักลงทุนที่มีบัญชีซื้อขายหุ้นรวม 5.54 ล้านบัญชี หรือ 2.27 ล้านคน
(นักลงทุนบุคคลที่มีบัญชีซื้อขายหุ้นรวม 5.67 ล้านบัญชี หรือ 2.30 ล้านคน ณ
สิ้นเดือนกันยายน 2565 )โดยนักลงทุนบุคคลทำธุรกรรมซื้อขายหุ้นในช่วง 6 เดือนแรกรวม
0.89 ล้านคน มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยวันละ 35,487 ล้านบาท หรือคิดเป็น 41%
ของมูลค่าซื้อขายหุ้นทั้งตลาด
ทั้งนี้ พบว่า 79%
ของนักลงทุนบุคคลดังกล่าวซื้อขายหุ้นยั่งยืนอย่างน้อย 1 บริษัท
และมีมูลค่าซื้อขายหุ้นยั่งยืนเฉลี่ยสูงถึงวันละ 14,245 ล้านบาท หรือคิดเป็น 40%
ของมูลค่าซื้อขายหุ้นของนักลงทุนบุคคลทั้งหมด (รูปที่ 2) คำถามที่น่าสนใจต่อไปคือ
นักลงทุนบุคคลสนใจหุ้นยั่งยืนเหมือนกันทุกกลุ่มหรือไม่
ใครสนใจมากหรือน้อยแตกต่างกันอย่างไร
ในมุมเจเนอเรชั่นพบว่า
หุ้นยั่งยืนเป็นที่นิยมของบุคคลในทุกเจเนอเรชั่นโดยมากกว่า 70% ของคนในแต่ละเจเนอเรชั่นต่างซื้อขายหุ้นยั่งยืนในพอร์ต
และยิ่งสูงอายุขึ้นยิ่งมีแนวโน้มที่จะสนใจและกระจายมูลค่าซื้อขายให้หุ้นยั่งยืนมากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ หากเปรียบเทียบในเชิงประสบการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นของแต่ละบุคคลแล้ว
พบว่านักลงทุนที่มีประสบการณ์เริ่มซื้อขายมาก่อนปี 2564
สนใจและกระจายการซื้อขายให้หุ้นยั่งยืนมากกว่านักลงทุนใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาดมาเริ่มซื้อขายในช่วง
2 ปีหลังอยู่บ้าง
ในมุม Retail Segment มีความสนใจหุ้นยั่งยืนที่ค่อนข้างแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
โดยบุคคลกลุ่มFundamental
Group ซึ่งนิยมหุ้นพื้นฐานขนาดใหญ่หรือหุ้นที่ให้ปันผลสูง
พบว่ามากกว่า 85% ของบุคคลทุก Segment
ในกลุ่มนี้ซื้อขายหุ้นยั่งยืน
และกระจายมูลค่าซื้อขายให้สูงถึง 60-80% เลยทีเดียว ขณะที่บุคคลในกลุ่ม Risk Group กระจายมูลค่าซื้อขายให้หุ้นยั่งยืนเพียง
15-25%
หุ้นยั่งยืนใน THSI เพิ่มต่อเนื่อง
กลุ่มบริการติดโผมากสุด
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลท.
เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดทำรายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI (Thailand Sustainability
Investment) ตั้งแต่ปี 2558 โดยมีบริษัทจดทะเบียน (บจ.)
เข้าร่วมและผ่านการประเมินเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ในปี 2565 มีบริษัทได้รับคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน
THSI ถึง
170 บริษัท สะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของ บจ.
ขณะเดียวกัน
ผู้ร่วมตลาดทุกกลุ่มให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืนมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นผู้ลงทุนที่มีความตื่นตัวและลงทุนอย่างยั่งยืน โดยนำข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม
สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental,
Social, Governance : ESG) มาใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน
ควบคู่ไปกับข้อมูลผลประกอบการทางการเงิน นอกจากนี้ ผู้ลงทุนสถาบัน
โดยเฉพาะกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ได้นำรายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI ไปใช้ในการพิจารณาคัดเลือกหุ้นที่จะลงทุน
นักวิเคราะห์การลงทุนยังนำปัจจัย ESG
รวมถึงรายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI ไปใช้ในการวิเคราะห์และให้คำแนะนำแก่ผู้ลงทุนผ่านบทวิเคราะห์หลักทรัพย์อีกด้วย
สำหรับ 170 บริษัทในรายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI ปีนี้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่สำคัญในการเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม
เช่น นโยบายและเป้าหมายด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม
ผลการดำเนินงานและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรไฟฟ้า พลังงาน น้ำ
รวมถึงของเสียที่เกิดขึ้นจากการผลิต และผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน
ชุมชนและสังคมผ่านกระบวนการทางธุรกิจ เป็นต้น
นอกจากนี้
บจ.ประเมินความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) โดยกำหนดนโยบายและมาตรการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง
อย่างไรก็ดี
บจ.ยังสามารถพัฒนาเพิ่มเติมให้มีกระบวนการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนตลอดห่วงโซ่อุปทาน
หุ้นยั่งยืน THSI 170 บริษัทเป็น บจ.
ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)จำนวน
157 บริษัทและ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) จำนวน 13 บริษัท กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีจำนวน บจ.
ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI
สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มบริการ 33
บริษัท กลุ่มทรัพยากร 28 บริษัท และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง 27 บริษัท โดย
บจ. ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI
มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม 14
ล้านล้านบาทหรือคิดเป็น 72% เมื่อเทียบกับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดทั้งหมดของ SET และ
mai (ณ 3
ตุลาคม 2565)
รายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI คัดเลือกจาก
บจ. ที่สมัครใจเข้าร่วมตอบแบบประเมินความยั่งยืน
ซึ่งประกอบด้วยตัวชี้วัดทั่วไปสำหรับทุกบริษัทรวม 19 หมวด
และตัวชี้วัดตามลักษณะการประกอบธุรกิจตาม 8 กลุ่มอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารมีตัวชี้วัดเพิ่มเติมในการประเมินเรื่องการจัดหาวัตถุดิบอย่างรับผิดชอบและความเสี่ยงจากการใช้น้ำ
กลุ่มธุรกิจการเงินมีตัวชี้วัดเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลและระบบสารสนเทศ
การทำธุรกิจทางการเงินหรือประกันภัยอย่างรับผิดชอบ การเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงินหรือการประกันภัย
ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับประเด็นที่เป็นสาระสำคัญที่ผู้ลงทุนให้ความสนใจและส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวของบริษัท