WEALTH • MUTUAL FUND

จัดพอร์ตกองทุนครึ่งปีหลัง บลจ.มองบวกหุ้น มากกว่าตราสารหนี้

บลจ.เผยกลยุทธ์ลงทุนครึ่งปีหลัง บลจ.ยูโอบี ชู 3 ธีม ลดน้ำหนักตลาดหุ้นยุโรป หุ้นเติบโต และหุ้นเทคโนโลยี แนะ Real Assets ต้องมีติดพอร์ต บลจ.กสิกรไทย ให้น้ำหนักหุ้นมากกว่าตราสารหนี้ บลจ.กรุงไทย ชอบหุ้นจีน หลังความเสี่ยงลดลงมาก ภาพรวมการส่งออกดีขึ้น ประกอบกับการกระตุ้นใช้จ่ายภาครัฐช่วยปลุกเศรษฐกิจ


ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง 2565 ปัจจัยที่ทั่วโลกได้รับผลกระทบ ได้แก่ แรงกดดันเงินเฟ้อจากราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น และนโยบายทางการเงิน หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้สภาพคล่องโลกตึงตัวมากกว่าปกติ

อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นหุ้นยังสามารถลงทุนได้ โดยพื้นฐานการขยายตัวของเศรษฐกิจถือว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง สำหรับเรื่องเงินเฟ้อที่เข้ามากระทบ จะส่งผลลบต่อการลงทุนในหุ้น อาทิ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการแพทย์ สินค้าฟุ่มเฟื่อย ที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้นและอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนการลงทุนในระยะกลางได้

อีกทั้งนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของหุ้นและตราสารหนี้ โดยในส่วนของหุ้นหากต้นทุนทางการเงินปรับตัวสูงขึ้น นักลงทุนจะต้องเผชิญกับความเสี่ยง ดังนั้น อาจใช้วิธีการถือหุ้นน้อยลง ด้านตราสารหนี้ปัจจุบันอัตราผลตอบแทน (Yield) ปรับขึ้น นักลงทุนจึงไม่กล้าถือตราสารหนี้มากนัก เนื่องจากราคาที่ปรับตัวลง แต่ในช่วง 1-2 เดือนหลังจากนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้วนั้น อาจจะได้เห็นผลตอบแทนที่ดีขึ้น

สำหรับความไม่แน่นอนระหว่างประเทศที่กระทบในระยะยาวนั้น ดร.จิติพลมองว่า การเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่เกิดขึ้น อาทิ สหรัฐฯกับจีน ที่ยังคงมองว่าเป็นคู่แข่งกันอยู่เสมอ และเป็นคู่แข่งที่มีความคิดเห็นต่างกัน ดังนั้น ความขัดแย้งทางแนวความคิดจะเกิดบ่อยขึ้นในอนาคต อีกทั้งความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นนั้น ความขัดแย้งดังกล่าวอาจจะใช้ระยะเวลาที่ยาวนาน

ด้านสินทรัพย์ทางเลือก ดร.จิติพล มองว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีมีการพัฒนามากขึ้นกว่าเดิมและยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มเห็นได้จากสินทรัพย์ในรูปแบบดิจิทัลที่ซื้อขายอยู่ในท้องตลาด อีกทั้งในอนาคตคาดว่าจะเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้น โดยเชื่อว่าในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า จะมีเกิดการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์ที่ต่างออกไปจากปัจจุบัน

 

บลจ.ยูโอบี แนะนำลงทุน 3 ธีม

 Real Assets ต้องมีติดพอร์ต

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน บลจ.ยูโอบี แนะนำ 3 ธีม ได้แก่ ธีมปฏิวัติอุตสาหกรรม มีการใช้หุ่นยนต์เพิ่มกำลังการผลิต นำเทคโนโลยีมาแทนที่ ธีมเทคโนโลยีทางการเงิน (ฟินเทค) ที่ทำให้การบริการเข้าถึงประชาชนง่ายมากขึ้น หุ้นกลุ่มการเงิน ธุรกิจไฟแนนซ์ดั้งเดิมจะเห็นการเปลี่ยนแปลงประยุกต์ใช้บล็อกเชนเข้ามาทำตลาด และธีม Turnaround อย่างการใช้อินเทอร์เน็ตทำธุรกิจ เช่น อี-คอมเมิร์ซจากปีนี้ที่ถูกควบคุมน่าจะสามารถกลับมาได้ เชื่อว่าปี 2566 เป็นปีที่จีนเห็นความชัดเจนด้านนโยบาย

นอกจากนี้ แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในธีมปฏิวัติอุตสาหกรรม การเงินไร้ตัวตน การป้องกันไซเบอร์ และจัดสรรเงินลงทุนบางส่วนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้ (Real Assets) เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ ประเภททองคำ โลหะ น้ำมันดิบ สินค้าโครงสร้างพื้นฐาน อสังหาริมทรัพย์ สินทรัพย์ประเภทลักซ์ชัวรี่ เช่น นาฬิกา กระเป๋าแบรนด์เนม เป็นต้น รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์เกษตร สินทรัพย์เหล่านี้ถือเป็นสินทรัพย์ทางเลือก แนะนำให้จัดสรรเงินลงทุน 10%

 สำหรับการลงทุนในหุ้น แนะนำสะสมหุ้นตลาดที่พัฒนาแล้วในเอเชีย หุ้นขนาดใหญ่ หุ้นคุณค่า และให้น้ำหนักลงทุนเท่ากับตลาดในหุ้นสหรัฐฯ หุ้นขนาดเล็ก และหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ขณะที่แนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรป หุ้นเติบโต และหุ้นเทคโนโลยี

 การลงทุนในตราสารหนี้ หากเป็นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยควรจะลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีอายุไม่เกิน 3 ปี เนื่องจากภายในช่วง 3 ปีนี้มีโอกาสที่ตลาดหุ้นกู้จะรีไฟแนนซ์และอาจให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น แต่หากเป็นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง อาจจะลงทุนในระยะยาว หรือย้ายเงินลงทุนไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ บ้าง เช่น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (รีท) กองทุนรวมผสม ซึ่งอาจจะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว 5-10 ปี

               

บลจ.กสิกรไทย แนะครึ่งปีหลัง

เน้นกองหุ้นมากกว่าตราสารหนี้


นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า จากรายงานเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นและทองคำ เผชิญแรงเทขายอย่างรุนแรง ส่วนตราสารหนี้และน้ำมันปรับตัวขึ้นมาในระยะสั้น

อย่างไรก็ดี ในระยะยาวยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อกองทุนหุ้น มากกว่ากองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้นเอเชียทั้งประเทศที่พัฒนาแล้ว และประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) นอกจากนี้ ผู้ลงทุนควรกระจายการลงทุนบางส่วนไปยังกองทุนสินทรัพย์ทางเลือกอย่าง กองทุนน้ำมัน และกองทุนทองคำ ในสัดส่วนไม่เกิน 5-10% ของพอร์ต

 

กลยุทธ์จัดพอร์ตในแต่ละสินทรัพย์

       เงินสด - Negative เงินเฟ้อที่อยู่ระดับสูง ส่งผลให้การถือครองเงินสดมีมูลค่าที่แท้จริงลดลง แม้ในช่วงสั้น Geopolitical Tensions จะทำให้เงินสดเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย

      หุ้น - Slightly Positive แม้สินทรัพย์เสี่ยงจะปรับลงจากความกังวลต่อการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในตลาด จากการปรับนโยบายการเงินของประเทศแกนหลัก ซึ่งส่งผลให้เกิดความผันผวนช่วงสั้น แต่การที่เศรษฐกิจยังคงเติบโตต่อได้ และอดีตที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจะกลับมาฟื้นตัวได้ 2-4 ไตรมาส ดังนั้น กลยุทธ์ จึงต้องเลือก (Selective) ในหุ้นประเทศที่มีการเติบโตสูงกว่าตลาดโลกโดยรวมจากการฟื้นตัวของโควิด-19 เช่น ตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย

      รีท - Slightly Negative แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นกดดัน Valuation ของสินทรัพย์ประเภทนี้ อย่างไรก็ตาม ในเชิงปัจจจัยพื้นฐาน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะนำไปสู่การปรับค่าเช่าและมีส่วนลด จึงเป็น Selective ในภูมิภาคเอเชียที่มีการฟื้นตัวที่ดีกว่าในปี 2565 นี้

      น้ำมัน - Neutral ในระยะสั้น ราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูงเกิน 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากปัจจัยความเสี่ยงทางการเมืองระหว่างรัสเซียและยูเครน อย่างไรก็ตาม การเจรจาระหว่างสหรัฐฯและอิหร่าน จะนำไปสู่การเพิ่มกำลังการผลิต (อุปทาน) จากอิหร่าน ในที่สุดจะทำให้ตลาดพลิกจากขาดตลาดเป็นกำลังผลิตส่วนเกิน 500,000-1,000,000 บาร์เรลต่อวัน และจะเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันจากระดับนี้ได้ และน่าจะกลับไปสู่ราคาตามปัจจัยอุปสงค์ (ความต้องการใช้น้ำมัน)และอุปทาน ที่ประมาณ 70-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

      ตราสารหนี้ - Slightly Negative Duration/Government การปรับนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักทั่วโลกสู่ระดับสมดุล ส่งผลให้แนวโน้มดอกเบี้ยสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยลบโดยตรงต่อตราสารหนี้ที่มีอายุยาว Corporate Credit ทั้งนี้ Credit Spread ของกลุ่มตราสารหนี้เอกชนได้มีการปรับตัวลดลงจนอยู่จุดระดับต่ำสุดในรอบหลายปี อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนส่วนเพิ่มที่ได้จากการถือครองตราสารหนี้เอกชนยังมากกว่าตราสารหนี้ภาครัฐ

      ทองคำ - Neutral ในระยะสั้นคาดว่าราคาทองคำจะซื้อขายอยู่ในกรอบระหว่าง 1,820-1,920 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากความกังวลเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ และเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นได้สนับสนุนราคาทองคำ อย่างไรก็ดี ในขณะที่ระยะกลางการทยอยปรับลดผ่อนคลายนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก นำไปสู่ดอกเบี้ยขาขึ้น และกดดันราคาทองคำ

 

กลยุทธ์การลงทุนตราสารทุนต่างประเทศ

      หุ้นญี่ปุ่น - Slightly Positives อัตราการเติบโตน่าจะกลับมาเร่งตัวได้ตามประเทศพัฒนาแล้ว หลังการฟื้นตัวของภาคการผลิตและบริการ จึงคาดว่าตลาดหุ้นยังคงมีปัจจัยบวกจากคาดการณ์กำไรที่ปรับขึ้น ประกอบกับทิศทางนโยบายการเงินของญี่ปุ่นที่ยังคงผ่อนคลายเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ น่าจะสนับสนุนค่าเงินเยนให้อ่อนค่า และเป็นผลดีกับหุ้นญี่ปุ่น นอกจากนี้ Valuation ตลาดหุ้นที่ยังต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ โดยเปรียบเทียบ

      หุ้นสหรัฐฯ - Neutral ปัจจัยการปรับนโยบายการเงินที่เข้มงวดของคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ (FOMC) เพื่อป้องปรามเงินเฟ้อที่สูงน่าจะยังกดดันการลงทุน ความเสี่ยงหลักคือ สงครามที่ยืดเยื้อระหว่างรัสเซีย-ยูเครน นำไปสู่เงินเฟ้อที่ทรงตัวระดับสูงต่อเนื่อง และทำให้นโยบายการเงินตึงตัวกว่าคาดได้อีก

      หุ้นไทย - Slightly Positive การฟื้นตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจ หลังสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 คลี่คลายลง ประกอบกับการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว จะสนับสนุนการเติบโต โดยเฉพาะการบริโภคและใช้จ่ายในประเทศในปี 2565 และคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยที่ดีขึ้น กลยุทธ์การลงทุนยังคงเป็น Selective ในหุ้นรายตัวที่เน้นกำลังซื้อในประเทศ และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ

 

บลจ.กรุงไทย แนะลงทุนจีน รับเศรษฐกิจฟื้นต่อเนื่อง


นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM เปิดเผยว่า จากสภาวะความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก กลายเป็นความท้าทายของนักลงทุนในการจัดสรรการลงทุนอย่างเหมาะสม ในส่วนของ KTAM ประเมินว่า ภายใต้สถานการณ์ความไม่แน่นอนในปัจจุบันนั้น จีนนับเป็นหนึ่งในตลาดที่น่าลงทุนที่ไม่ควรมองข้าม จากปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ทั้งการส่งออกที่ฟื้นตัว นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ระดับเงินเฟ้อต่ำ และศักยภาพของการเป็นแหล่งซัพพลายวัตถุดิบที่สำคัญของโลก

ทั้งนี้ จีนยังมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโตอีกมาก ทั้งการส่งออกที่ฟื้นตัวแรงกว่าที่คาด นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐผ่านการเงินชดเชยและสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้กับธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ และด้วยอัตราเงินเฟ้อของจีนที่ต่ำสุดในโลกเพียง 2.1% ทำให้จีนสามารถขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีก

นอกจากนี้ ศักยภาพของการเป็นแหล่งซัพพลายวัตถุดิบที่สำคัญของโลก และการคลายล็อกท่าเรือ จะเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าจากจีนไปสู่ตลาดโลก ขณะที่ดัชนี MSCI ลงทุนหุ้นจีนเพียง 3.5% ของพอร์ตเท่านั้น ซึ่งสะท้อนถึงการที่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังมองข้าม ช่วงนี้จึงนับว่าเป็นโอกาสและจังหวะที่ดีในการลงทุนหุ้น ตราสารหนี้ และเงินหยวนของจีน

สำหรับการลงทุนในตลาดจีน KTAM มีกองทุนที่น่าสนใจ 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเคแทม ไชน่า เอแชร์ อิควิตี้ ฟันด์ (KT-Ashares), กองทุนเปิดเคแทม ไชน่า อิควิตี้ ฟันด์ (KT-CHINA) และกองทุนเปิดเคแทม ไชน่า บอนด์ ฟันด์ (KT-CHINABOND)

 

หลักทรัพย์บัวหลวง

แนะ “กองทุนรวมผสม”


นายเสริมศักดิ์ วงศ์สิทธิโชค ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายค้าตราสารการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงนี้มีหลายปัจจัยความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อการลงทุนในกองทุนรวม เช่น สงครามรัสเซียยูเครนที่กินเวลายาวนานกว่าที่คาดการณ์ ทำให้เกิดวิกฤติพลังงาน และราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น หนุนให้เงินเฟ้อพุ่งทั่วโลก

ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว จึงแนะนำให้จัดพอร์ตลงทุนให้เหมาะกับสถานการณ์ โดยสัดส่วนลงทุนหลัก 90% ให้เน้นไปใน “กองทุนรวมผสม” ที่มีนโยบายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนของพอร์ต ส่วนที่เหลือให้ลงทุนในกองทุนที่อาจได้รับประโยชน์จากเงินเฟ้อพุ่งหรือราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นในสัดส่วน 10%

สำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำแนะนำให้ลงทุนในกองทุนผสมลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงไม่เกิน 25% ของพอร์ต ผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางแนะนำกองทุนผสมลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงไม่เกิน 50% ของพอร์ต และให้เพิ่มการลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนล้อตามเงินเฟ้อ และผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูงแนะนำกองทุนผสมลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ไม่เกิน 75% ของพอร์ต และให้เพิ่มการลงทุนในกองทุนหุ้นกลุ่มพลังงานเพราะราคาพลังงานมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง