โลกของสินทรัพย์หลังการทำ Tapering
ตัังเเต่ Q3 เป็นต้นมา การประกาศทำนโยบายการเงินที่เข้มงวดของ FED
ทำให้นักลงทุนไม่ว่าจะเป็นระดับสถาบันหรือรายย่อยล้วนเเล้วเเต่ต้องวางเเผนกันใหม่หมด
การทำ Tapering อธิบายง่าย ๆ คือการลดวงเงินการซื้อสินทรัพย์ของธนาคารกลางสหรัฐซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าจากนี้นโยบายการเงินจะไม่ผ่อนคลายเเบบเดิมเเล้วนะ
เเละนั่นหมายถึงสภาพคล่องในระบบที่หายไป
การที่ราคาสินทรัพย์ต่างๆทั้งหุ้นเเละทองคำที่วิ่งขึ้นอย่างรุนเเรงในช่วง
Covid สวนทางกับความรู้สึกกับของเราเเทบทุกคนนั้น
หลักๆมาจากสภาพคล่องที่ธนาคารกลางทั่วโลกอัดฉีดเข้ามา
ในโลกการเงินไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ
มันมีเเต่สภาพคล่องที่เป็นตัวหลักในการขับเคลื่อน
การถอดถอนสภาพคล่องจึงเป็นการบอกเป็นนัย ๆ ว่าจากนี้จะไม่มีเม็ดเงินเข้ามามากเหมือนเดิมเเล้ว สินทรัพย์ที่สะท้อนผลตอบรับทางจิตวิทยาของตลาดดูได้จากทั้งผลตอบเเทนพันธบัตรที่สูงขึ้นเเละค่าเงินดอลลาร์ที่เเข็งค่าขึ้นโดยทั่วไปเเล้วผลตอบเเทนพันธบัตรที่สูงขึ้นคือการที่ต้นทุนทางการเงินทีสูงขึ้น เเละต้นทุนการเงินที่สูงขึ้นไม่มีเป็นผลดีกับสินทรัพย์เสี่ยงเช่น หุ้นบางกลุ่ม เช่น กลุ่มที่มีหนี้สูงหรือกลุ่มที่มีปันผลต่ำเเละเทรดในระดับพีอีที่สูงเเละการที่ดอลลาร์ที่เเข็งค่าขึ้น บอกเราว่าสภาพคล่องของดอลลาร์ในตลาดตึงตัวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นสินทรัพย์ใดก็ตามที่เทรดบนดอลลาร์ย่อมปรับตัวลงเป็นปกติ
คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ว่าควรโยกเงินไปที่ไหนดี
ก็ต้องมาพิจารณากันรายสินทรัพย์ ยกตัวอย่างเช่น
หุ้น Growth >> ได้รับผลกระทบด้านลบโดยตรง
จากการปรับตัวขึ้นของผลตอบเเทนพันธบัตร ที่มีเเนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อไม่ว่าประเด็นเรื่องเพดานหนี้สหรัฐจะผ่านหรือไม่ก็ตาม
หุ้น Value >> อีกหนึ่งตัวเลือกที่ดี
หากธุรกิจนั้นๆสามารถคงมาร์จิ้นในสภาวะเงินเฟ้อได้
หุ้นไทย >> ยังคงได้รับผลกระทบจาก Earning Yield Gap ที่เเคบลงทำให้ความน่าสนใจในหุ้นลดลง ทำให้ต้องไปลุ้นกับธีม Domestic
Play มากกว่า Global Play
ทองคำ >> ถือเป็นสินค้าที่น่าจับตาอีกตัวใน Q4 เพราะเรียกได้ว่าทองคำเป็น Underperformed Asset ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา
เเต่หากธีมเงินเฟ้อกลับมา
ทั้งจากเงินเฟ้อจากนโยบายการเงินที่่อาจกลับมาผ่อนคลายเเละปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดจาก
Supply Chain โดยจะมีเเรงขับเคลื่อนสำคัญจากดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง
อย่างไรก็ดีนอกจากปัจจัยทิศทางการกำหนดสภาพคล่องของ FED เเล้ว
ยังคงมีประเด็นเรื่อง Debt Ceiling หรือเพดานหนี้รัฐบาลสหรัฐที่จะ
Guideline ให้เราว่า Flow เงินรอบใหญ่จากนี้อีกครั้งว่าจะหมุนไปทางไหน
ช่วงนี้ถือว่ายากครับ ทุกอย่างยังไม่นิ่งทั้งในฝั่ง Dot Plot ที่บอกเเนวโน้มดอกเบี้ยหรือต้นทุนของเงินในอนาคต
ทั้งผลตอบเเทนพันธบัตรสิบปีของรัฐบาลสหรัฐที่ใช้เป็น Benchmark บอกความน่าสนใจของตลาดหุ้น ทำให้ Theme play เเต่ละช่วงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ตลอด
ช่วงนี้ธีมเงินเฟ้อชัดขึ้นเเต่ปีหน้าเงินฝืดอาจจะกลับมาคุกคามก็ได้
การถือเงินสดมากขึ้นเพื่อรอโอกาสชัดๆถือเป็นกลยุทธ์ที่ดีในช่วงนี้เเละการกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ใหม่ๆกลายเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้เเล้วครับ