สรุปเหตุการณ์ FTX ที่กำลังจะล้มละลาย กับผลกระทบครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์คริปโทฯ
สำหรับผู้เล่นบนตลาดคริปโทฯ นอกจากเรื่องเศรษฐกิจที่ต้องกังวลไม่แพ้กับตลาดทุนอื่น ๆ ก็ยังมีเรื่องของเหตุการณ์การล้มของโปรเจกต์หรือผู้ให้บริการเพิ่มขึ้นมาอีก ซึ่งทั้งผลกระทบที่กล่าวมักจะสร้างแรงสั่นสะเทือนเชิงลบในวงกว้าง โดยอย่างหลังมักจะรุนแรงกว่าด้วย
เหตุการณ์เป็นมาอย่างไร?
FTX ซึ่งเป็นหนึ่งใน exchange รายใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ที่ Sam Bankman-Fried หรือ SBF เป็นเจ้าของ และได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก Binance ที่เป็น exchange อันดับ 1 ณ ตอนนี้ โดยเริ่มมีข่าวลือที่แพร่สะพัดทาง Twitter ว่า FTX อาจจะกำลังประสบปัญหาบางอย่าง ซึ่งข่าวลือในวงการคริปโทฯ ส่วนใหญ่ที่พูดถึงกันใน Twitter ความน่าจะเป็นที่จะผิดนั้นน้อยมาก จนล่าสุด Changpeng Zhao หรือ CZ เจ้าของ Binance ได้ทวีตผ่าน Twitter ของตัวเอง ว่าจะขาย FTT ซึ่งเป็นเหรียญของ Exchange FTX ทั้งหมด เนื่องจากพฤติกรรมที่ทาง FTX ที่อาจจะส่งผลเสียต่อตัว Binance เอง และทางตัว Binance เพิ่งทราบ จึงไม่อยากให้เกิดผลเสียต่อบริษัทของตัวเอง โดยพยายามแจงว่าตนไม่ได้มีเจตนาในการทำลายคู่แข่งแต่อย่างใด ซึ่งหนึ่งในพฤติกรรมข้างต้น ก็มาจากอีกหนึ่งบริษัทที่ 2 ของ SBF อย่าง Alameda Research และดูเหมือนจะเป็นต้นเหตุของหายนะในครั้งนี้
โดยสาเหตุที่ Alemeda Research เป็นที่โจษจันว่าเป็นสาเหตุในครั้งนี้ และได้รับการรายงานผ่านหลายสำนักข่าว หนึ่งในนั้น คือ Coindesk ที่ได้ระบุว่าสินทรัพย์ภายใต้การดูแลของ Alemeda Research นั้นเป็น FTT กว่า 80 เปอร์เซ็น แต่ถ้าถือไว้เฉยๆ หรือลงทุนปกติก็คงไม่มีอะไร แต่ดันใช้ FTT ไปค้ำเพื่อกู้เงินออกมาใช้ ซึ่งก็ไม่ได้กู้จากใครที่ไหนไกล ก็กู้จาก FTX นี่แหละ ทำให้ ณ ปัจจุบัน FTX เกิดปัญหาสภาพคล่องที่เข้าใกล้คำว่าล้มละลายขึ้นทุกที ซึ่งจาก SBF เองก็ได้พยายามแก้ไขปัญหาส่วนนี้ จากการขอความช่วยเหลือจากนักลงทุนเงินหนาเพิ่ม หนึ่งในนั้นก็ คือ CZ รวมอยู่ด้วย แต่หลังจากผ่านการตรวจสอบกิจการไปเพียงไม่ถึงวัน ดีลก็ล่มไปทันที
ผลกระทบเป็นอย่างไร ?
แน่นอนว่าการเทขาย FTT ของ CZ ส่งผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์ และความเชื่อของนักลงทุนไม่เว้นแม้แต่นักลงทุนรายย่อย จนราคา FTT ณ ปัจจุบันหล่นไปรากมะม่วงอยู่แถว $3.5 จาก $30 และทำให้ผู้ใช้ส่วนใหญ่พยายามแห่ถอนสินทรัพย์ออกจาก FTX อย่างต่อเนื่อง ไม่เว้นแม้แต่นักลงทุนรายใหญ่ที่แห่ถอนออกจำนวนมากในสัปดาห์ที่ผ่านมา หนึ่งในนักลงทุนรายใหญ่ที่เราน่าจะพอผ่านตากันมาบ้าง ได้แก่ Nexo, Circle และ Jump ซึ่งที่ผ่านมา FTX เป็นหนึ่งใน exchange ที่นักลงทุนรายใหญ่พากันเข้ามาใช้บริการมากที่สุดเป็นอันดับต้น และล่าสุดได้มีการปิดฝากถอนระหว่างที่มีปริมาณการถอนจำนวนมาก แม้จะมีการเปิดกลับมาให้บริการปกติ แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะปิดอีกอยู่ดี
รายชื่อกระเป๋าที่มีปริมาณการถอนสูงสุดในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทาง SBF ได้ออกมาทวีตขอโทษผ่าน Twitter แล้ว ถึงสถานการณ์ที่ตนไม่สามารถรับมือได้ และน่าจะสื่อสาร หรือจัดการได้ดีกว่านี้กับทางผู้ใช้ แต่ก็ดูเหมือนสถานการณ์ไม่น่าจะดีขึ้นในเร็วๆ นี้ แต่หวังว่าคงจะไม่มีจุดจบแบบเดียวกับ Terra เพราะหากเป็นเช่นนั้นอาจจะส่งผลกระทบรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์คริปโทฯ เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของความเชื่อมั่น ซึ่งการจะกอบกู้ FTX ในสถานการณ์นี้ได้นั้น จำเป็นต้องพึ่งเงินลงทุนกว่า $8 พันล้านเลยทีเดียว
จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อ ?
จากที่เขียนไปข้างต้น FTX ถือเป็นหนึ่งใน exchange ที่นักลงทุนเงินหนาจากทั่วโลกเลือกมากกว่า Binance ที่เป็นอันดับ 1 ด้วยซ้ำ จากเหตุการณ์นี้ ก็มีความเป็นไปได้ว่านักลงทุนรายใหญ่ระดับ hedge fund และนักลงทุนสถาบันอื่นๆ อาจจะล้มกันเป็น Domino แบบเดียวกับที่เกิดขึ้นกับ 3 Arrow Capital และ Celsius จากเหตุการณ์ระเบิดของ Terra เพราะ FTX นั้นไม่เป็นเพียงแค่ exchange ที่เปิดให้รับแลกเหรียญในรูปแบบของ Spot แต่รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ Derivatives อื่นๆ อีกมากที่นักลงทุนเหล่านี้ต่างพากันเลือกใช้
โดยรายใหญ่ที่ว่ามาที่อาจจะต้องอยู่ใน watchlist ช่วงนี้ ได้แก่ BlockFi, Genesis และ Wintermute ซึ่งหากพวกเขาบริหารสินทรัพย์ได้อย่างรัดกุมพอ อาจจะไม่ต้องกังวลอะไรมาก แต่ทำไมเราต้องรอให้มันเกิดด้วย นักลงทุนรายย่อยอย่างเราอาจจะต้องบริหารความเสี่ยง ด้วยการถอนสินทรัพย์ทั้งหมดออกมายืนดูข้างนอกก่อน ดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีเหมือนกัน เมื่อฝุ่นสงบค่อยเข้าไปตะลุมบอนก็ยังไม่สาย เพราะนักลงทุนรายใหญ่ที่กล่าวมา มีบทบาทต่อตลาดโดยรวมทั้งหมด รวมถึง DeFi ด้วย และหากล้มจริง ฤดูหนาวของคริปโทฯ ครั้งนี้อาจจะยาวนานที่สุด อย่าลืมนึกถึงความเสี่ยงทุกครั้งก่อนจะเริ่มลงทุนในสนามใดๆ สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกคนที่ลงทุนใน FTX ได้รับสินทรัพย์ของตัวเองคืนอย่างเร็วที่สุด และไม่ได้รับผลกระทบใดใดไปมากกว่านี้