เมื่อเข็มทิศการลงทุนยามนี้ มุ่งหน้าคว้าโอกาสหุ้นจีนและเวียดนาม
ช่วงนี้ผมถูกถามบ่อยๆ ว่า “ถึงเวลาลงทุนได้หรือยัง?” นักลงทุนต่างบ่นอุบรอเวลามาเนิ่นนานกว่าครึ่งปีแล้ว กระแสข่าวทั่วโลกก็ยังวนเวียนอยู่กับเรื่องภาวะเงินเฟ้อสูง ทั้งจากการใช้จ่ายและราคาน้ำมันพุ่งทะยานของสงครามรัสเซียและยูเครน จนมาถึงการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางประเทศต่างๆ ความวิตกกังวลเศรษฐกิจถดถอย จีนล็อกดาวน์จนปลดล็อกดาวน์ไปแล้ว
ที่สำคัญ ราคาสินทรัพย์ต่างๆ ปรับตัวลดลง ซึมซับข่าวสารหลายๆ รอบแล้ว ผมเชื่อว่า จนถึงเวลานี้ นักลงทุนมือใหม่มือเก่า ได้เรียนรู้ตรรกะธรรมชาติของการลงทุน ไม่ว่าตลาดหุ้นหรือตลาดใดๆ ก็ตาม ที่ต้องเจอข่าวสารไหลเวียนสร้างความผันผวนระยะสั้นๆ แต่คุณสามารถมองหาโอกาสในวิกฤตเหล่านี้ได้
ตัวผมก็ได้รับคำถามมาว่า แล้วนักลงทุนสาย VI (Value Investing) มีจังหวะการซื้อหรือขายหุ้นด้วยไหม แน่นอนครับ สาย VI ก็มีจังหวะเหมือนกัน นั่นคือในช่วงที่ตลาดหุ้นซึมๆ ราคาหุ้นตก ถือเป็นโอกาสการลงทุนครั้งที่ยิ่งใหญ่ครับ เพราะคุณมีโอกาสที่จะได้ซื้อหุ้นในราคาที่ถูกมากๆ เหมือนกับเดินเลือกชอปปิงของดีที่คุณอยากครอบครองมานานในช่วงลดราคา
คุณคงไม่ลืมคำแนะนำของปู่ Warren Buffett ตำนานนักลงทุนโลกที่ยังมีลมหายใจ ปู่บอกเสมอว่า "จงกลัวเวลาที่คนอื่นโลภ และจงโลภเวลาที่คนอื่นกลัว" นี่จึงเป็นเหตุผลที่นักลงทุนสาย VI ไม่ว่าจะเป็น ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร รวมไปถึงนักลงทุนสาย VI ระดับโลกหลายคน เริ่มกลับมาลงทุนกันอีกครั้งในช่วง ตลาดหุ้นเป็นหมีซึมเศร้ากับข่าวร้ายของโลกครับ
หากคุณมีเป้าหมายในการลงทุนระยะยาว การเข้าลงทุนหรือช้อนหุ้นในช่วงเวลานี้ หรือเฟ้นหาหุ้นที่ทำธุรกิจมีรายได้และกำไรได้ดีเยี่ยม และมีแนวโน้มเติบโต โอกาสนี้กำลังเกิดขึ้นอีกครั้งเพราะเมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ คุณจะรู้สึกภูมิใจที่ได้ตัดสินใจใส่เงินลงทุนไปครับ
แต่บางคนอาจมีข้อสงสัยค้างคาใจ แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรว่า ช่วงเวลาไหนคือจุดต่ำสุดของราคาหุ้น จริงๆ ไม่มีใครฟันธงได้ถูกต้อง 100% ครับ แต่คุณจะพอคาดการณ์ได้จากข้อมูลราคาหุ้น หรือดูอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีเปิดให้ดูฟรีกันมากมายครับ หรือจะเข้าไปดูแพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น Jitta ได้เลยนะครับ ถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยปลดล็อกเลือก ‘หุ้นดี ราคาเหมาะสม’ ให้นักลงทุนสาย VI ครับ
สำหรับผมในช่วงเวลานี้ ได้มองตลาดหุ้นที่น่าสนใจไว้ 2 ประเทศ ที่ไม่อยากให้ตกขบวนการลงทุนครับ แม้ว่าเศรษฐกิจฝั่งตะวันตกจะอบอวลไปด้วยภาวะเงินเฟ้อสูงครอบงำในหลายๆประเทศ อัตราดอกเบี้ยสูง ความหวาดผวาเศรษฐกิจถดถอยต่างๆ ที่คุณอาจต้องเผชิญหน้าไปยาวๆ ข้ามปีกันทีเดียว แต่ก็ใช่ว่า เมื่ออีกซีกโลกมีข่าวร้ายแล้วต้องกอดเงินสดไว้ เพื่อความอุ่นใจ นี่เป็นความคิดที่ผิดครับ
ปู่ Buffett บอกไว้ว่า ยิ่งช่วงที่เจอเงินเฟ้อสูงๆ ยิ่งต้องลงทุน อย่ากำเงินสดไว้ ในช่วงสงครามก็ควรซื้อหุ้นเพื่อความมั่นคงในระยะยาวมากกว่า เพราะไม่ว่าเงินเฟ้อหรือสงคราม ล้วนทำให้ค่าของเงินสดที่คุณถืออยู่จะด้อยค่าลง แต่การลงทุนจะทำให้พอร์ตเติบโต เงินก็จะงอกเงยขึ้นได้
2 ประเทศที่ผมเสนอให้คุณลองเหลียวหลังแลหน้าแล้วมองกลับมาที่ซีกโลกเอเชียกัน คุณจะพบขุมทรัพย์แห่งการลงทุนรอคุณอยู่ นั่นคือ จีนและเวียดนาม ซึ่งเศรษฐกิจมีศักยภาพเติบโตสูงในระยะยาว
อย่าตกขบวนลงทุน จีนเร่งสปีด พิชิตเป้า GDP โต 5.5%
เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลจีนมีนโยบายส่งเสริมการซื้อรถยนต์และตั้งเป้าหมายว่า จะฟื้นฟูอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศ และยังผ่อนคลายการควบคุมธุรกิจเทคโนโลยีอีกด้วย ตลาดหุ้นฝั่งเอเชียกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังได้รับแรงหนุนจากตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงที่รีบาวด์อีกครั้ง นำโดยหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด หุ้นเทคโนโลยีต่างๆ ก็ปรับตัวขึ้นตามกันมา
ดัชนี CSI300 ในเดือนมิถุนายน ดีดตัวขึ้นแรง 11.32% เลย ย้อนไปทั้งไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 5.43% ส่วนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (Year-to-date) ยังติดลบ 8.87% ข้อมูลจาก Investing.com ณ 30 มิถุนายน 2565
ตั้งแต่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา รัฐบาลประกาศคลายล็อกดาวน์เมืองต่างๆ ทันทีที่สถานการณ์ Covid-19 ในจีนเริ่มดีขึ้น โดยเฉพาะในเซี่ยงไฮ้ กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาปกติอีกครั้ง โรงงานอุตสาหกรรมหลายๆ แห่งได้เปิดดำเนินการแล้วภายใต้มาตรการของรัฐ โดยคาดการณ์กันว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต รวมไปถึงดัชนี PMI นอกภาคการผลิต อาจแตะระดับ 50 ได้ในเร็วๆ นี้ จากเดือนพฤษภาคม ที่อยู่ต่ำกว่า 50 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ ถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อภาคอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจจีนในช่วงครึ่งหลังของปี 2565
ด้านตัวเลขเงินเฟ้อจีนล่าสุด ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้น 2.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนเมษายน ที่สำคัญต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 2.2% ทำให้รัฐบาลจีนมีช่องว่างดำเนินนโยบายการเงินด้วยการลดดอกเบี้ย และนโยบายการคลัง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่
รัฐบาลจีนเร่งสปีดฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างไม่รีรอ ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ด้วยเงินอัดฉีด 60,000 ล้านหยวน เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนซื้อรถยนต์ กระตุ้นการบริโภคและหนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศให้กลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ หลังจากช่วง 4 เดือนแรก ยอดขายรถหดตัว 11% ไปแล้ว คาดการณ์ว่า มาตรการนี้จะช่วยหนุนเป้าหมายยอดขายรถในจีนพุ่งถึง 21 ล้านคันในปี 2565 ทีเดียว
ฝั่งภาคเอกชนจีนก็แข็งแกร่ง บริษัทเอกชน 500 อันดับแรกมีรายได้รวม 235 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้นเกือบ 33 ล้านล้านหยวนจากปี 2563 หรือเพิ่มขึ้น 16.32% ขณะที่บริษัทที่มีสินทรัพย์มากกว่า 100,000 ล้านหยวนมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 18 บริษัท
ด้านประธานาธิบดีจีน Xi Jinping ยังได้ประกาศจะยกระดับอุตสาหกรรมด้วยนวัตกรรม มุ่งนำประเทศขึ้นเป็นผู้นำอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งส่งผลดีต่อธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ตอนนี้เริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น
รัฐบาลจีน ยังได้ออกมาตรการสนับสนุนให้บริษัทเอกชนก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากจากวิกฤต Covid-19 ได้แก่ การคืนภาษีและลดค่าใช้จ่าย รัฐบาลตั้งเป้าเพิ่มงบในการคืนภาษีกว่า 1.64 ล้านล้านหยวน กระตุ้นสถาบันการเงินเร่งอนุมัติวงเงินกู้ พร้อมยกเว้นค่าธรรมเนียม เพื่อช่วยเหลือบริษัทที่ต้องหยุดดำเนินธุรกิจชั่วคราว
ฝั่งรัฐบาลได้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของภาครัฐ ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น เพิ่มประสิทธิภาพ ประหยัดเวลาภาคเอกชน แนวโน้มเศรษฐกิจจีนตอนนี้ ดูมีทิศทางที่ดีขึ้น รัฐบาลพร้อมอัดฉีดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่และพิชิตเป้าหมาย GDP ขยายตัวปีนี้ที่ 5.5%
ท่ามกลางความพร้อมและความแข็งแกร่งด้านการคลังของรัฐบาลจีน สะท้อนจากรายได้รวม 5 เดือนแรกของปี 2565 อยู่ที่ 8.6 ล้านล้านหยวน หลังหักภาษีที่จ่ายคืน คิดเป็นอัตราการเติบโตถึง 2.9% จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ทั้งๆ ที่เดือนพฤษภาคมยังเป็นช่วงที่ใช้มาตรการล็อกดาวน์ในหลายๆ เมืองอยู่ ซึ่งแสดงให้เห็นความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจจีนแต่ละภาคส่วนอย่างมีนัยสำคัญ
รายจ่ายของภาครัฐจีนช่วง 5 เดือนแรกของปี 2565 อยู่ที่ 9.9 ล้านล้านหยวน ซึ่งเป็นรายจ่ายด้านประกันสังคมและแรงงานมากที่สุดและเพิ่มขึ้นด้วย ชี้ให้เห็นถึงการสร้างความมั่นคงให้ประชาชนและตลาดแรงงาน ที่น่าสนใจ คือ รายจ่ายด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น 15% แสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนภาคเทคโนโลยีอย่างเต็มที่ ตอกย้ำการมุ่งหน้าสู่การยกระดับนวัตกรรมเพื่อเป็นผู้นำอุตสาหกรรมภากการผลิตอย่างจริงจัง
หากดูย้อนหลังในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ภาคเอกชนจีนเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากกฎระเบียบที่เป็นมิตรต่อการทำธุรกิจมากขึ้น โดยจำนวนบริษัทเอกชนเพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่าตัวจาก 10.85 ล้านบริษัทในปี 2555 มาเป็น 44.57 ล้านบริษัทใน 2564 ส่งผลให้จีนเปลี่ยนจากประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยภาครัฐสู่การขับเคลื่อนด้วยภาคเอกชน จะเห็นได้ว่าภาคเอกชนจีนมีบทบาทสำคัญมากขึ้น เพราะรัฐบาลปรับปรุงกฎเกณฑ์ให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศมากขึ้นด้วย
ผมมองว่า จีนได้กลายเป็นประเทศที่น่าจับตามองเป็นอย่างมากในทุกภาคส่วน การจะขึ้นเป็นผู้นำเศรษฐกิจของจีนไม่ใช่เพียงแค่เป้าหมายลอยๆ เท่านั้น แต่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต่างเร่งพัฒนากันอย่างเต็มที่ แสดงถึงความแข็งแกร่งของจีนได้อย่างชัดเจน และยังมีโอกาสอีกมากสำหรับการลงทุนระยะยาวในธุรกิจที่มีคุณภาพ
ตลาดหุ้นจีนเริ่มพลิกกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง น่าลงทุนมากทีเดียว สวนทางกับตลาดหุ้นทั่วโลกที่ผันผวนหนัก เพราะตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นมาได้เดือนกว่าๆ เอง แม้ดัชนี CSI300 ช่วง 6 เดือนแรกยังติดลบอยู่ ค่า P/E (Price-to-earnings Ratio) ตลาดหุ้นจีนอยู่ระดับเท่ากับค่าเฉลี่ย 10 ปีก่อน แสดงว่าของถูกยังมีอยู่มากเลยครับ
เวียดนามผงาดในเอเซีย เศรษฐกิจกำลังไปได้สวย
อีกประเทศที่ดาวเด่นเจิดจรัสแห่งเอเชีย คือ เวียดนาม ที่กำลังถูกจับตาจะก้าวขึ้นมาเป็นเสือเศรษฐกิจตัวใหม่ จากข้อได้เปรียบด้านราคาที่ดิน ค่าจ้างแรงงาน และต้นทุนนการดำเนินงานของโรงงานและคลังสินค้า จะเป็นแรงส่งให้เวียดนามอาจเข้ามาแทนที่จีนในฐานะโรงงานของโลกในอนาคต
ปัจจุบันบริษัทต่างชาติแห่ย้ายฐานการผลิตมาสู่เวียดนาม ไม่ว่าจะเป็นบริษัท Apple บริษัท Lego บริษัท LG Electronics บริษัท Panasonic และบริษัท Samsung โดยในปี 2564 มูลค่าเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment - FDI) ของเวียดนามสูงเป็นอันดับที่ 1 ของอาเซียน มีสัดส่วนเป็น 5.1% ของ GDP เพราะรัฐบาลมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน จึงดึงดูดให้เป็นประเทศปลายทางสำหรับการกระจายความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทานที่ดี ไม่แปลกที่จะเห็น FDI เติบโตเฉลี่ยปีละ 10% ต่อเนื่องยาวนานกว่า 1 ทศวรรษ
ด้านโครงสร้างประชากรส่วนใหญ่ก็อยู่ในวัยหนุ่มสาว โดยประชากรอายุต่ำกว่า 60 ปี มีสัดส่วนมากถึง 90% ของประชากรทั้งหมด ขณะที่จำนวนประชากรที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีก็มีถึง 37% กลุ่มคนชนชั้นกลางกำลังขยายตัวรวดเร็ว นับเป็นขุมกำลังทางเศรษฐกิจของเวียดนามในอนาคต
แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจเวียดนามถูกขับเคลื่อนจาก ทั้งเศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศ นับตั้งแต่ไตรมาสแรกปี 2565 เศรษฐกิจเวียดนามขยายตัว 5.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และหลังการเปิดประเทศช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลก็มีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อเร่งให้ GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก 1% ในปีนี้ ด้วยงบประมาณกว่า 15,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 4% ของ GDP เวียดนาม และยังดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย ส่งผลบวกทั้งภาคการบริโภคในประเทศและภาคการค้าระหว่างประเทศ รวมทั้งการขยายการลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศ
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า มูลค่าการค้าของเวียดนาม ปี 2565 จะเพิ่มขึ้นสูงถึง 750,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดการณ์ GDP เติบโตได้ 7% ถือว่าโดดเด่นกว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาคนี้ และเป็นการเติบโตที่กลับไปอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วง 5 ปีก่อนเกิดสถานการณ์ Covid-19 ด้วย
อัตราเงินเฟ้อของเวียดนามคาดว่า ปี 2565 อาจจะสูงราวๆ 4% ถึง 5% หลังจากเดือนพฤษภาคม ขยับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 2.9% จากตัวเลขในเดือนเมษายนที่ 2.6% โดยมีสาเหตุหลักจากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่ก็คาดว่าจะสามารถควบคุมได้
ตลาดหุ้นเวียดนาม ค่าP/E ถูกสุดในรอบ 12 ปี
ท่ามกลางการเติบโตสดใสของเศรษฐกิจเวียดนามในปี 2565 ด้านตลาดหุ้นเวียดนามกลับร่วงระเนระนาดอย่างไม่คาดคิด สวนทางกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
ผมขอเล่าถึงต้นเหตุของตลาดหุ้นเวียดนามที่จมดิ่งในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาครับ เพื่อเป็นข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
ตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน 2565 มีการจับกุมคดีทุจริตในตลาดหุ้น โดยหน่วยงานกำกับดูแลตลาดหุ้นของเวียดนามอย่าง State Securities Commission of Viet Nam (SSCV) เข้าควบคุมตัวผู้บริหารระดับสูงของบริษัท FLC Group ในข้อหาปั่นหุ้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปราบปรามทุจริตครั้งใหญ่ ตามด้วยการควบคุมตัวผู้บริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อย่าง Tan Hoang Minh Group ในข้อหาจำหน่ายหุ้นกู้แบบผิดกฎหมาย ต่อด้วยการควบคุมตัวผู้บริหารระดับสูงอีกหลายคนของบริษัทขนาดใหญ่และรัฐวิสาหกิจในเวียดนามหลายแห่ง
นักลงทุนไม่มั่นใจในเสถียรภาพของตลาดหุ้นเวียดนาม จึงเทขายหุ้นออกมาเพื่อถือเงินสดรอดูสถานการณ์ก่อน ส่งผลให้ตลาดหุ้นร่วงลงอย่างรุนแรง และกระทบต่อนักลงทุนรายย่อยที่เล่นหุ้นด้วยบัญชีเงินกู้ยืมจากบริษัทหลักทรัพย์หรือ Margin Loan (เงินที่ลูกค้ากู้ยืมเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์) อย่างมาก เมื่อถูกโบรกเกอร์เรียกเงินประกันเพิ่มเติม (Margin Call) ทำให้ต้องทำการขายหุ้นทิ้ง ยิ่งซ้ำเติมตลาดหุ้นให้ตกรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก รวมถึงเม็ดเงินต่างชาติยังไหลออกอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยลบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ กฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นในตลาดตราสารหนี้ ส่งผลกระทบกับหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และธนาคารที่ถูกเทขายออกมาด้วย ซึ่งหุ้นทั้ง 2 กลุ่มนี้มีน้ำหนักในการคำนวณดัชนี VNI มากว่าครึ่งเลยทีเดียว
ปัจจัยข้างต้น กดดันตลาดหุ้นเวียดนามดิ่งลง โดยตั้งแต่ต้นปีถึง 30 มิถุนายน 2565 ดัชนี VNI ลดลงไปแล้ว 19.41% และย้อนหลัง 3 เดือนลดลง 19.65% แต่ก็พบว่า ในช่วงเดือนมิถุนายน 7.44% ข้อมูลจาก Investing.com ทำให้ค่า P/E ถูกสุดในรอบ 12 ปี
เหล่านี้ล้วนเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราวที่ไม่ได้กระทบกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจของเวียดนาม และหากย้อนไปตั้งแต่ Covid-19 เริ่มระบาดในช่วงต้นปี 2563 ดัชนี VNI ก็เป็นขาขึ้นมาตลอดและทำนิวไฮตลอดปี 2564 ที่ผ่านมาถึง 4 ครั้ง
จริงๆ แล้ว การปราบปรามการทุจริตในตลาดหุ้นจนทำให้เกิดการปรับฐานในรอบนี้ ผมมองว่าส่งผลดีกับพัฒนาการของตลาดหุ้นเวียดนามในระยะยาว เพราะตลาดหุ้นเวียดนามจะมีเสถียรภาพและความโปร่งใสมากขึ้น จะช่วยยกระดับตลาดหุ้นเวียดนามตามการจัดอันดับของ MSCI จากการเป็นตลาดหุ้นชายขอบ (Frontier Market) ไปสู่การเป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market) ในอนาคตอันใกล้
“แล้วควรลงทุนหุ้นเวียดนามตอนไหนดี?” ผมขอแนะนำก่อนครับ สำหรับผู้ที่จะเข้าลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม คุณควรหาคำตอบตัวเองให้ชัดเจนก่อนว่า อะไรที่ทำให้คุณอยากสร้างความมั่งคั่งด้วยหุ้นเวียดนาม คุณจะเป็นนักลงทุนระยะสั้นหรือระยะยาว คุณสามารถรับความเสี่ยงได้แค่ไหน และการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามจะช่วยให้คุณเข้าใกล้เป้าหมายการลงทุนที่ตั้งไว้ได้หรือไม่
หากคุณมองว่า เวียดนามเป็นตลาดที่น่าลงทุน ตั้งใจจะลงทุนระยะยาวอย่างน้อย 3-5 ปีขึ้นไป ก็เหมาะจะลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม ตลาดที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นกลับมาและกำลังจะพุ่งทะยานได้อย่างรวดเร็ว
หากคุณต้องการสะสมความมั่งคั่งด้วยการทยอยลงทุนแบบ DCA (Dollar Cost Averaging) ก็สามารถทำได้ เพื่อให้คุณได้ลงทุนอย่างมีวินัยและได้เฉลี่ยต้นทุนสินทรัพย์ทั้งช่วงตลาดหุ้นขาขึ้นและขาลง
แม้ว่าผมจะบอกว่า การลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นจีนและเวียดนามยังเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอยู่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด อยู่ที่คุณ ไม่ว่าจะเลือลงทุนอะไรก็ตาม คุณควรลงทุนในสิ่งที่คุณเข้าใจ หมั่นหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ แล้วผลตอบแทนที่ดีจึงจะตามมา มันคือ High understanding, high return ครับ แหล่งข้อมูลมีอยู่มากมาย หรือที่ Jittawealth.com ก็มีบทความมากมายที่คุณสามารถเข้ามาศึกษาเพิ่มเติมได้
สำหรับผมแล้ว ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นจีนและเวียดนามครับ เพราะทั้ง 2 ประเทศ มีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงระดับนี้ เพราะไม่ว่าตลาดหุ้นจะเป็นขาขึ้นหรือขาลงก็ล้วนเป็นโอกาสในการลงทุนระยะยาว อย่าได้ตกขบวนการลงทุน เพราะโอกาสจะสร้างผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อ อยู่ในมือคุณแล้วครับ