AWARDS • MONEY & BANKING AWARDS

รางวัลเกียรติยศกองทุนยอดเยี่ยมแห่งปี กองทุนเปิดเคเคพี SMALL AND MID CAP EQUITY ชนิดทั่วไป (KKP SM CAP) 2565 บลจ.เกียรตินาคินภัทร

บทความโดย:

รางวัลเกียรติยศกองทุนยอดเยี่ยมแห่งปี 2565

กองทุนเปิดเคเคพี SMALL AND MID CAP EQUITY ชนิดทั่วไป (KKP SM CAP)

 

สุราช เซที

ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมการลงทุนหุ้น

บลจ.เกียรตินาคินภัทร

 

“บลจ.เกียรตินาคินภัทรมีปรัชญาในการลงทุนที่ชัดเจน  โดยจะเน้นปัจจัยพื้นฐานเป็นหลักมองผลตอบแทนการลงทุนจากมุมมองระยะยาวเพื่อความยั่งยืนในการลงทุนและมีการบริหารพอร์ตการลงทุนเชิงรุกโดยคำนึงถึงความเสี่ยงที่เหมาะสมเพื่อเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอกลับสู่นักลงทุนที่ให้ความเชื่อมั่นใน บลจ.เกียรตินาคินภัทร”

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เกียรตินาคินภัทร จำกัด (KKPAM) ได้รับรางวัลกองทุนยอดเยี่ยมแห่งปี 2565 ประเภทกองทุนหุ้นไทย (Equity Fund) กองทุนเปิดเคเคพี SMALL AND MID CAP EQUITY ชนิดทั่วไป (KKP SM CAP)โดยสามารถสร้างผลงานบริหารกองทุนได้อย่างโดดเด่นด้วยการคัดเลือกหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กจากปัจจัยพื้นฐานที่ดีสามารถมอบผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวพร้อมประเมินความเสี่ยงและสถานการณ์ตลาดอยู่เสมอ

สุราช เซที ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมการลงทุนหุ้น บลจ.เกียรตินาคินภัทร กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้รับรางวัลกับวารสารการเงินธนาคารว่ารู้สึกภูมิใจและถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่นักลงทุนมอบความไว้วางใจใน

บลจ.เกียรตินาคินภัทร โดยจะมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายในการจัดการลงทุนให้มีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างยั่งยืนในระยะยาว  รวมทั้งออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มทางเลือกในการลงทุนให้หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการลงทุนของนักลงทุน

 

ใส่ใจหุ้นรายตัว เน้นพื้นฐานดี

ด้วยปรัชญาการลงทุนที่ชัดเจน

สุราชกล่าวว่า กองทุนเปิด KKP SM CAP เป็นกองทุนหุ้นที่มีแนวทางการบริหารเชิงรุก เน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี มีแนวโน้มการเติบโตของผลประกอบการที่ดีในระยะยาว ผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มข้นจากทีมผู้จัดการกองทุนและทีมนักวิเคราะห์ภายในที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ เบื้องหลังความสำเร็จของกองทุนมาจากกระบวนการลงทุนที่มีประสิทธิภาพนับตั้งแต่การเฟ้นหาหุ้นที่มีโอกาสการเติบโตที่ดี การติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิดการตัดสินใจลงทุนอย่างทันท่วงที มีวินัย ตลอดจนประเมินความเสี่ยงอย่างเป็นระบบและครอบคลุม ทำให้สามารถสร้างพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา

สุราชกล่าวเสริมว่า ในการบริหารกองทุน KKP SM CAP ทีมงานของ บลจ.เกียรตินาคินภัทร ให้ความสำคัญกับการคัดเลือกหุ้น (Stock Selection) เป็นอย่างมาก เป้าหมายคือการค้นหาหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตที่ดี และมีราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน (Undervalue Stock) เนื่องจากกองทุนเน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก  ที่อาจไม่เป็นที่รู้จักของนักลงทุนและนักวิเคราะห์ภายนอก การติดตามข้อมูลทำได้ยาก ต้องใช้เวลาและความใส่ใจสูง  บลจ.เกียรตินาคินภัทร จึงมุ่งมั่นที่จะพัฒนากระบวนการลงทุนให้มีประสิทธิภาพอย่างสม่ำเสมอ และเน้นการทำงานร่วมกันเป็นทีมระหว่างผู้จัดการกองทุน 5 คนและนักวิเคราะห์ภายในอีก 8 คน ในการกลั่นกรอง ติดตามข้อมูลจากผู้บริหารอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ผู้จัดการกองทุนสามารถปรับพอร์ตการลงทุนให้เข้ากับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา

 

เปิดมุมมอง 3 ปัจจัยหลักกระทบการลงทุน

สำหรับแนวโน้มการลงทุนในช่วงที่เหลือของปี 2565

สุราชกล่าวต่อว่า ก่อนจะกลับมามองที่ตลาดหุ้นไทย ควรจะมองภาพรวมของตลาดหุ้นโลกก่อนว่ามีทิศทางอย่างไรเพราะจะเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี โดยให้ความเห็นว่าในปัจจุบันตลาดหุ้นโลกยังมีความผันผวนสูง และมีทิศทางที่ไม่ชัดเจน เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐฯ และยุโรป โดยมีปัจจัยที่กดดันตลาดที่ต้องติดตาม 3 ประการคือ

       1. แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารหลักส่วนใหญ่ของโลก  โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯที่ดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นอย่างมาก เพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการ  การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เร็วและแรงทำให้มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจอาจชะลอตัวลงจนอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ในระยะถัดมา

       2. ความคืบหน้าของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งส่งผลทำให้ราคาพลังงาน ธัญพืชและอาหารปรับตัวสูงขึ้น จากความไม่สมดุลระหว่างอุปทาน (Demand) และ อุปสงค์ (Supply) ที่ลดลงจากการถูกจำกัดการส่งออกของรัสเซีย ยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับสูง

       3.  นโยบาย Zero COVID ของจีน ที่ส่งผลทำให้ห่วงโซ่อุปทานเกิดภาวะชะงักงัน (Supply Chain Disruption) การที่รัฐบาลจีนยังคงคุมเข้มในการควบคุมการระบาด และจำกัด

การเดินทางเข้า-ออกประเทศอย่างเข้มงวด หรือที่เรียกว่า นโยบาย Zero COVID ส่งผลให้มีการล็อกดาวน์เมืองอุตสาหกรรมและเมืองท่าที่สำคัญของจีนอีกครั้ง และมีผลทำให้ทั่วโลกยังคงเผชิญกับปัญหาห่วงโซ่อุปทานเกิดภาวะชะงักงัน (Supply Chain Disruption) เนื่องจากจีนเป็นฐานการผลิตในหลายภาคอุตสาหกรรม และเป็นผู้ส่งออก-นำเข้าหลักของหลายประเทศ รวมถึงไทยเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลให้สินค้ามีราคาสูงขึ้นเป็นแรงกดดันเงินเฟ้อให้ยังคงอยู่ในระดับสูง

 

กลยุทธ์ช่วงเหลือของปี เน้นหุ้น Defensive

สุราชกล่าวว่า โดยรวมตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลังนั้น มีทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบที่จะเข้ามามีผลกระทบต่อการลงทุน โดยปัจจัยลบที่ต้องติดตามส่วนใหญ่จะมาจากภายนอกดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้นที่อาจส่งผลทำให้ตลาดยังคงผันผวนสูงแต่ในขณะเดียวกันก็มีปัจจัยบวกสำหรับตลาดหุ้นไทยอยู่หลายประการเช่นกัน ที่สำคัญที่สุดคือ การเดินหน้าเปิดประเทศอย่างเต็มตัว โดยเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวทยอยกลับเข้ามามากขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังเริ่มกลับมาคึกคักได้มากที่สุด

อีกทั้งเงินบาทที่อ่อนค่าลงทำให้บริษัทในตลาดหุ้นเริ่มได้รับอานิสงส์เชิงบวก โดยเฉพาะบริษัทที่มีธุรกิจหลักเกี่ยวกับการส่งออก และ หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ไทยน่าจะมีการเลือกตั้งในช่วงต้นปี 2566 ดังนั้น อาจจะได้เห็นรัฐบาลเริ่มมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนการเลือกตั้ง

บลจ.เกียรตินาคินภัทร คาดว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ถึงแม้จะยังคงผันผวน แต่มีแนวโน้มสดใสกว่าตลาดหุ้นโลก เนื่องจากไทยพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวที่ถือเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศที่กำลังฟื้นตัวอย่างเต็มที่ และคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนไทยในปี 2565 จะเติบโตประมาณร้อยละ 10 โดยมีกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ที่ระดับ 1,480-1,680 จุด

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนของ บลจ.เกียรตินาคินภัทรในช่วงที่เหลือของปีนี้จะเน้นไปที่หุ้น Defensive หุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการส่งออกที่ดีขึ้น หุ้นของกลุ่มบริษัทที่มีความสามารถในการกำหนดราคา (Pricing Power) สามารถผลักต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นไปยังผู้บริโภคได้ และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางทั้งในและต่างประเทศ

สุราชกล่าวว่า ในช่วงที่สถานการณ์ตลาดยังมีความผันผวนสูงอยากให้นักลงทุนให้ความสำคัญกับการเลือกลงทุนโดยเน้นปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งเป็นหลักเพื่อรักษาผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว สำหรับ บลจ.เกียรตินาคินภัทร จะยังคงรักษาปรัชญาการลงทุนและมาตรฐานการลงทุนที่เข้มแข็งนี้ไว้เพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับนักลงทุน อย่างดีที่สุด