AWARDS • MONEY & BANKING AWARDS

รางวัลเกียรติยศ บริษัทยอดเยี่ยม กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม 2565 บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล

บทความโดย:

“รู้สึกภูมิใจที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ เพราะเป็นผลงานของทุกคนในองค์กร แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของ PTTGC โดยเฉพาะหลังจากวิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ที่เราใช้โอกาสนี้ในการปรับปรุงทั้งภายในและภายนอก นั่นจึงทำให้เราไม่ใช่แค่ Survive จากวิกฤติ แต่เราแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมด้วย”

รางวัลเกียรติยศ

บริษัทยอดเยี่ยม กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม 2565

Best Public Company Industrials Industry 2022

 

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่

บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล



บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)ได้รับรางวัล บริษัทยอดเยี่ยม กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม 2565 Best Public Company -Industrials Industry 2022 เป็นผลจากการทำงานอย่างหนักในช่วงวิกฤติ Covid-19 ที่มีการเสริมความแข็งแกร่งทั้งภายในและภายนอก มุ่งเปลี่ยนวิกฤติให้กลายเป็นโอกาส ด้วยแผนงานที่ชัดเจน ผ่านแนวคิดที่ว่า “เราจะอยู่แบบเดิมต่อไปไม่ได้”

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอลจำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยความรู้สึกที่ได้รับรางวัลว่า รู้สึกภูมิใจที่ได้รับรางวัลบริษัทยอดเยี่ยม กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม2565 รางวัลนี้เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงการทำงานอย่างหนักของบุคลากรทุกคนในองค์กร ที่ร่วมแรงร่วมใจกันเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส ผ่านหลายโครงการที่มุ่งเสริมความแข็งแกร่งทั้งภายในและภายนอกให้กับองค์กร รางวัลนี้ถือเป็นความสำเร็จจากการทำงานที่เข้มข้นตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

“รู้สึกภูมิใจที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ เพราะเป็นผลงานของ ทุกคนในองค์กร แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของ PTTGC โดยเฉพาะหลังจากวิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19ที่เราใช้โอกาสนี้ในการปรับปรุงทั้งภายในและภายนอกนั่นจึงทำให้เราไม่ใช่แค่ Survive จากวิกฤติ แต่เราแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมด้วย”

ในช่วงที่เกิดวิกฤติ Covid-19 มีข้อความสำคัญที่สื่อไปถึงบุคลากรทุกคนคือ “เราจะเป็นเหมือนคนอื่น หรือเราจะใช้โอกาสนี้พัฒนาองค์กรให้ดีกว่าเดิม หากเรายังทำเหมือนเดิม

เราก็จะเหมือนคนอื่น” ข้อความนี้เปรียบเสมือนเชื้อเพลิงชั้นดีที่ทำให้เกิดความร่วมแรงร่วมใจกันของทุกคนในองค์กร ทำให้ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา PTTGC มีการดำเนินงานในหลายโครงการ ทั้งการปรับปรุงระบบภายในให้แข็งแรง มีการปรับโครงสร้าง และปรับการทำงานให้มีความคล่องตัวมากขึ้น ตลอดจนการนำเครื่องมือใหม่ๆ มาใช้ นอกจากนี้ ยังคว้าโอกาสในช่วงวิกฤติ ด้วยการเข้าซื้อกิจการใหญ่ได้ ด้วยต้นทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์

 

เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส

จับกระแส Megatrends โลก

ดร.คงกระพันกล่าวว่า ในปีที่ผ่านมา PTTGC มีการปรับตัวเน้นการลดค่าใช้จ่าย และเสริมทักษะบุคลากรให้เก่งขึ้น เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจให้ขับเคลื่อนตามแผนได้ต่อเนื่อง ซึ่งในปีที่ผ่านมาหลายแผนงานก็แสดงผลลัพธ์พร้อมกันโดยเฉพาะ “การปรับพอร์ตโฟลิโอ” ด้วยการเข้าไปลงทุนตามกลยุทธ์ของ PTTGC ในธุรกิจที่สอดคล้องกับ Megatrends ตอบโจทย์ความต้องการของโลกในอนาคตมากขึ้น เช่น การเข้าซื้อกิจการของบริษัท allnex ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกในธุรกิจ Coating Resins (สารเคลือบ) และเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าสูง (High Value Business หรือ HVB) เป็นเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialty Chemicals) โดยดีลนี้ PTTGC มีการศึกษาความเป็นไปได้และเจรจามาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งสามารถใช้โอกาสที่เกิดขึ้นในช่วงการระบาดของ Covid-19 เข้าซื้อกิจการได้ด้วยต้นทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์

“เรามุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัทเคมีภัณฑ์ ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ การเข้าซื้อกิจการของ allnex จะทำให้ PTTGC มีผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง มีศักยภาพในการทำกำไรดี สามารถตอบความต้องการของลูกค้าได้ทั่วโลก อีกทั้งผลิตภัณฑ์มีความใกล้ชิดกับลูกค้ายิ่งขึ้น เพราะเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น  สารเคลือบยานพาหนะ ที่ช่วยเพิ่มความเงางาม และคงทน, สารเคลือบที่ช่วยเสริมความแข็งแรงและยืดอายุการใช้งานของยางรถยนต์, สารเคลือบผิวภาชนะใส่อาหารที่ปราศจากสารตกค้าง และสารอินทรีย์ระเหยง่าย เป็นต้น นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ของ allnex ยังตอบโจทย์ด้านความยั่งยืน เพราะเป็นผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” 

ด้านผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน ดร.คงกระพันกล่าวต่อว่า ปัจจุบัน PTTGC เป็นผู้ผลิตพลาสติกชีวภาพ (Bioplastics) ที่มีกำลังการผลิตสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งผลิตจากพืช ได้แก่ ข้าวโพด อ้อย เป็นต้น เมื่อใช้แล้ว และได้รับการจัดการอย่างถูกวิธี จะสามารถย่อยสลายได้

โดยรวมผลิตภัณฑ์ของ PTTGC นั้น จะตอบโจทย์ความต้องการทั้ง 5 Megatrends ของโลก คือ

        1.Climate Change& Energy Transition ตอบโจทย์การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานด้วยการใช้เทคโนโลยีสะอาดและลดการใช้ทรัพยากร 

        2. Demographic Shift ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงด้านประชากรทั้งกลุ่มผู้สูงวัย และกลุ่มคนวัยทำงานรุ่นใหม่

        3. Health & Wellness ตอบโจทย์เรื่องสุขอนามัยและความเป็นอยู่ที่ดี

        4. Urbanization ตอบโจทย์การขยายตัวของเมืองและ Lifestyles

        5. Disruptive Technology ตอบโจทย์เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง

“5 Megatrends นี้จะยังคงอยู่ต่อไปอีกนาน สิ่งที่ PTTGC มองคือ การมีผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองทั้งการดำเนินธุรกิจและ Lifestyles ของคนในยุคปัจจุบัน” นอกจากการเข้าซื้อกิจการแล้ว เพื่อให้ธุรกิจขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ PTTGC ยังตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายภายในองค์กรผ่านการทำโครงการ FiT ซึ่งแม้จะลดการรับพนักงานใหม่แต่ก็มุ่ง  Upskills / Reskills ให้พนักงานที่มีอยู่เก่งขึ้น และมีทักษะพร้อมสำหรับงานในอนาคตมากขึ้น  

 

มองโอกาสซื้อกิจการเพิ่มต่อเนื่อง

เตรียมพร้อมรับมือภาวะ Recession

ดร.คงกระพัน กล่าวว่า เนื่องจากผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย PTTGC ได้เตรียมแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว หากเกิดสถานการณ์เร่งด่วนจะสามารถดำเนินการได้ทันทีซึ่งแนวปฏิบัตินี้ครอบคลุมทั้งเรื่อง บุคลากร เงินทุน และแผนการขยายธุรกิจ ขณะที่การซื้อกิจการเพิ่มเติมในปีนี้จะยังคงมีต่อเนื่อง เน้นการเสริมความแข็งแกร่งในผลิตภัณฑ์ให้มีความครบถ้วนยิ่งขึ้น

“เรายังคงมองถึงการลงทุนในดีลใหม่ๆ ต่อเนื่อง แต่ดีลที่จะเกิดในปีนี้อาจไม่ได้ใหญ่เหมือนตอนเข้าซื้อ allnex โดยยังคงมองถึงการควบรวมกิจการกับบริษัทที่มีจุดแข็งด้านเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษเพื่อนำองค์ความรู้ใหม่ๆ เข้ามาเสริมศักยภาพให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งเราอยู่ในวงการนี้ เรารู้อยู่แล้วว่าใครเก่งด้านไหนอย่างไร”ภาวะเศรษฐกิจถดถอย จะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจแต่สำหรับธุรกิจของ PTTGC นั้น มีการปรับ Product Portfolioให้ตอบโจทย์ 5  Megatrends และมีผลิตภัณฑ์ที่คงความสามารถในการทำกำไรถือเป็นการกระจายความเสี่ยง อีกทั้งติดตาม ประเมินสถานการณ์ต่างๆ และปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ในยามที่เศรษฐกิจไม่ดี ธุรกิจก็ยังไปต่อได้ 

“มองว่าการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย อาจไม่ได้กระทบหนักเหมือน Covid-19 ที่ทุกอย่างต้องหยุดทั้งหมด สิ่งที่เราทำคือการเตรียมตัวให้พร้อม ทำให้ต้นทุนสามารถแข่งขันได้ เราผ่านบททดสอบที่หนักที่สุดมาแล้ว ดังนั้นเราต้องใช้โอกาสนี้ในการทำบ้านให้แข็งแรงมากขึ้น และมองหาการลงทุนใหม่ๆ เพิ่มเติม”

ดร.คงกระพันกล่าวว่า PTTGC ยังคงเดินหน้าในโครงการสำคัญต่อเนื่อง เช่น โรงงานพลาสติกรีไซเคิล Envicco ที่เริ่มผลิตพลาสติกรีไซเคิล (Post Consumer Recycled Resins หรือ PCR) เชิงพาณิชย์แล้ว  โดยโรงงานแห่งนี้ ใช้เทคโนโลยีมาตรฐานระดับโลกสามารถผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล Food Grade ที่ใช้เป็นบรรจุภัณฑ์อาหารได้  หรือนำไปทำเป็นผลิตภัณฑ์ Upcyclingที่มีมูลค่าเพิ่ม อย่างสินค้าแฟชั่นได้ด้วยสำหรับพลาสติกใช้แล้วที่นำมารีไซเคิล ก็นำมาจากพลาสติกในประเทศ โดยส่วนหนึ่งเก็บได้จาก Youเทิร์นแพล็ตฟอร์ม ที่ GC ร่วมกับพันธมิตรตั้งจุดรับพลาสติกใช้แล้วที่ผ่านการทำความสะอาด (Plastic Drop Points) ทั่วประเทศนอกจากนี้ PTTGC ยังสร้างโรงงานด้าน Specialty Chemicals ในประเทศไทย ภายใต้ชื่อ Kuraray GC Advanced Materials ในการผลิตและจำหน่ายพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูง เช่น ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้า แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนเครื่องยนต์ เป็นต้นโดยจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2565 นี้

สำหรับการขยายธุรกิจ PVC แบบครบวงจร  PTTGCได้สนับสนุนการควบรวมกิจการระหว่าง บริษัท วีนิไทย จำกัด(มหาชน) หรือ VNT กับ บริษัท ไทยอาซาฮีเคมีภัณฑ์ จํากัด (AGC-TH) ก่อตั้งบริษัทใหม่ชื่อว่า บริษัท  เอจีซี วีนิไทย จํากัด(มหาชน) (AGC VINYTHAI PUBLIC COMPANY LIMITEDหรือ AVT) โดยเป็นการปรับโครงสร้างธุรกิจ เพื่อขยายตลาดสู่ธุรกิจปลายน้ำและใกล้ชิดตลาดปลายทางมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นผู้นำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  AVT มีแผนการนำเทคโนโลยีทันสมัย มาปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม