แก้ความเข้าใจผิดเรื่องกองทุนรวม
โลกการลงทุนมีความยากอยู่ที่ว่า ผลตอบแทนที่จะได้รับในอนาคตนั้นอาจไม่แน่นอน การคาดการณ์จากข้อมูลในวันนี้อาจเกิดผลจริงที่แม่นยำหรืออาจคลาดเคลื่อนไปมากก็ได้ และหากจะตีกรอบให้เป็นเรื่องของการลงทุนในกองทุนรวม ซึ่งก็มีความไม่แน่นอนในด้านผลตอบแทนด้วยเช่นกัน แต่โครงสร้างของวงการจัดการกองทุนและตัวกองทุนรวมเอง ยังมีหลายแง่มุมที่อาจนำมาซึ่งความเข้าใจผิด แม้โดยเนื้อหาแล้วจะเป็นข้อเท็จจริงที่มีความแน่นอนชัดเจนอยู่ จึงเห็นว่า แม้เรื่องผลตอบแทนในอนาคตอาจจะไม่แน่นอน แต่หากได้เข้าใจข้อเท็จจริงที่มีความแน่นอนให้ถูกต้องไปก่อน ก็จะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง
ความเข้าใจผิด
#1 : เงินที่ซื้อกองทุนรวมจะรวมอยู่ในงบดุลของบริษัทจัดการ
หากบริษัทจัดการมีปัญหา เงินลงทุนของเราก็จะมีปัญหาด้วย
ผู้ลงทุนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่า เงินที่ซื้อกองทุนรวม จะรวมอยู่ในงบดุลของบริษัทจัดการ ไม่ต่างจากการฝากเงินที่จะบันทึกเป็นหนี้สินของธนาคาร และหากฝั่งสินทรัพย์ของธนาคาร (ส่วนใหญ่คือ เงินให้สินเชื่อ) เกิดปัญหา ก็จะทำให้เงินฝากมีความเสี่ยงตามไปด้วย ซึ่งในกรณีธนาคารนั้น หากสินทรัพย์มีปัญหา ก็อาจส่งผลกระทบต่อเงินฝากได้จริง เพราะรวมอยู่ในงบดุลเดียวกัน
แต่ในกรณีกองทุนรวม
กองทุนรวมแต่ละกองจะมีสถานะเป็นนิติบุคคลเอกเทศแยกต่างหากจากบริษัทจัดการ
บริษัทจัดการมีหน้าที่เพียงบริหารสินทรัพย์ภายในกองทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ถือหน่วยลงทุน
ดังนั้นแล้ว หากบริษัทจัดการประสบปัญหาทางการเงิน ก็จะไม่ส่งผลกระทบทางตรงต่อกองทุนรวมแต่อย่างใด
แต่ก็อาจส่งผลกระทบทางอ้อมได้บ้าง เช่น
บริษัทจัดการอาจต้องลดขนาดทีมผู้บริหารกองทุนเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งอาจทำให้กองทุนขาดการบริหารจัดการที่เต็มประสิทธิภาพได้
ความเข้าใจผิด
#2 : ราคาหน่วยลงทุนสูงคือแพง ราคาหน่วยลงทุนต่ำถือถูก
ในมุมมองของการประเมินมูลค่าหลักทรัพย์
(Valuation) การจะระบุได้ว่า หลักทรัพย์ใดแพง (Overvalued) หรือถูก (Undervalued) จะต้องเทียบราคาตลาดกับมูลค่าพื้นฐานของหลักทรัพย์นั้น
หากมูลค่าพื้นฐานต่ำกว่าราคาตลาด ก็พอจะกล่าวได้ว่า แพง และในทางกลับกัน
หากมูลค่าพื้นฐานสูงกว่าราคาตลาด ก็พอจะเรียกได้ว่า ถูก
ซึ่งหน้าที่ในการประเมินว่า
หลักทรัพย์ใดที่อยู่ภายใต้กองทุนรวมนั้น แพง ควรขายออก
หรือหลักทรัพย์ใดในขอบข่ายที่กองทุนจะซื้อลงทุนได้นั้น ถูก น่าซื้อเข้า เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการลงทุนและผู้จัดการกองทุนของบริษัทจัดการ
ในการพิจารณาตัดสินใจ ส่วนราคาหน่วยลงทุนนั้น ณ
จุดตั้งต้นจะกำหนดขึ้นมาให้ง่ายต่อความเข้าใจ เช่น 10 บาทต่อหน่วย
ซึ่งไม่ได้มีความหมายแสดงถึงความถูกแพง
เพียงเป็นการนำมูลค่าสินทรัพย์ในกองทุนมาหารด้วยจำนวนหน่วยลงทุนเท่านั้น
และเมื่อเวลาผ่านไป ราคาหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้น เช่น จาก 10 บาท เป็น 100 บาท
ก็ไม่ได้หมายความว่า แพง เพราะมูลค่าถูกแพงที่แท้จริงแล้วขึ้นอยู่กับการเปรียบเทียบราคาตลาดของสินทรัพย์ที่อยู่ภายในกองทุนกับมูลค่าพื้นฐานในมุมมองของผู้บริหารกองทุน
หากจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น
เช่น กองทุน A ก่อตั้งที่ราคา 10 บาท/หน่วย มีการลงทุนในหุ้น 100
บริษัท ซึ่งทีมบริหารกองทุนประเมินว่าทั้ง 100 บริษัทนี้ Undervalued อยู่มาก มีโอกาสที่ราคาตลาดจะขยับขึ้นได้
ต่อมาราคาหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 100 บาท/หน่วย และในขณะนั้นเอง
ทีมผู้บริหารกองทุนได้ทำการขายหุ้นทั้ง 100 บริษัทนั้นออกไปหมดจากกองทุน
ด้วยเชื่อว่าราคาได้เพิ่มขึ้นมาเต็มมูลค่าแล้ว และพร้อมกันนั้น ก็ได้ซื้อหุ้นชุดใหม่อีก
100 บริษัทเข้ามาแทน โดยเชื่อมั่นว่าเป็น 100 บริษัทที่ Undervalued เช่นนี้แล้ว แม้ราคาหน่วยลงทุนจะเพิ่มจาก 10 เป็น 100 บาท
แต่หลักทรัพย์ภายในกองทุนนั้นล้วนแล้วแต่ยัง Undervalued
ในมุมมองของผู้บริการกองทุน เช่นนี้ก็ไม่อาจพูดได้ว่ากองทุนราคา 100 บาท
เป็นกองทุนที่แพง
ความเข้าใจผิด
#3 : กองทุนขนาดใหญ่กว่าผลงานย่อมดีกว่า
กองทุนรวมไม่ว่าจะมีขนาดใหญ่หรือเล็ก
จะแสดงราคาเป็น “ต่อหน่วย” และผู้ลงทุนสามารถเลือกซื้อตามจำนวนเงินที่ต้องการ
โดยจะได้รับจำนวนหน่วยกลับมาตามจำนวนเงินที่ซื้อไป ในระดับผู้ลงทุน (Investor
Level) ขนาดกองทุนจึงไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับผลงาน
อย่างไรก็ดี
กองทุนรวมที่มีขนาดเล็กมาก เช่น หลักล้านบาท
ก็อาจมีปัญหาด้านสภาพคล่องหากต้องขายหลักทรัพย์ในกองทุนกรณีที่ผู้ลงทุนต้องการไถ่ถอนเงินลงทุนจำนวนมาก
แต่กระนั้น หากหลักทรัพย์ในกองทุนมีสภาพคล่องสูง เช่น เป็นหุ้นใน SET50
Index ทั้งหมด แม้กองทุนจะมีขนาดเล็ก ก็ยังมีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องในระดับต่ำ
ในทางกลับกัน
กองทุนที่มีขนาดใหญ่มาก เช่น หลักแสนล้านบาท
หากทีมผู้บริหารกองทุนพิจารณาเห็นถึงแนวโน้มใหม่ในการลงทุน
และจำเป็นต้องซื้อขายหลักทรัพย์จำนวนมากเพื่อปรับตัวไปสู่แนวโน้มนั้น
ก็จะต้องใช้เวลานาน กว่าจะดำเนินการได้ครบถ้วน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนได้รับประโยชน์ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยจากแนวโน้มที่เปลี่ยนไป
จะเห็นได้ว่า
กองทุนที่มีขนาดพอสมควรกับสภาพคล่องของหลักทรัพย์ในกองทุน เช่นกองทุนหุ้น
SET50 Index ที่หลักทรัพย์มีสภาพคล่องสูงมาก แม้กองทุนจะไม่ได้มีขนาดมหึมา
ก็ยังสามารถตอบโจทย์การลงทุนได้ดี
อย่างไรก็ดี
กองทุนที่มีผลงานดีต่อเนื่องมาระยะหนึ่ง อาจเป็นที่กล่าวถึงกันมากขึ้นในวงการ
ผู้ลงทุนจึงให้ความสนใจซื้อมากขึ้น จนทำให้ขนาดกองทุนใหญ่ขึ้นก็เป็นได้ แต่กระนั้น
ก็ไม่ได้หมายความว่าผลงานต่อจากนั้นจะดีไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ และผลงานของกองทุน
จะวัดจากราคาต่อหน่วยที่เปลี่ยนแปลงไป (Capital Gain/Loss)
รวมถึงเงินปันผลที่อาจจ่ายออกมาระหว่างทาง การที่กองทุนมีขนาดใหญ่ขึ้นจึงไม่ได้ชี้ถึงประโยชน์ทางตรงที่ชัดเจนต่อผู้ลงทุนแต่อย่างใด
ความเข้าใจผิด
#4 : กองทุนประเภทเดียวกัน กองไหนๆ ก็เหมือนกัน
แม้จะเป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในภาพรวมที่เหมือนกัน
แต่หากทีมบริหารกองทุนใช้กลยุทธ์ต่างกัน มีมุมมองต่อมูลค่าและสภาวะเศรษฐกิจต่างกัน
ลงทุนในหลักทรัพย์ไม่เหมือนกันทั้งหมด และเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการต่างกัน
ก็อาจทำให้ผลงานต่างกันได้มาก ตัวอย่างเช่น
หุ้นเวียดนาม
กองทุนที่ทำผลงานแย่น้อยสุดในช่วงปีนี้ ให้ผลตอบแทนติดลบ 31.5% ส่วนกองที่ทุนทำผลงานแย่สุดในช่วงเวลาเดียวกัน ให้ผลตอบแทนติดลบถึง 47.0%
หุ้นยุโรป
กองทุนที่ทำผลงานแย่น้อยสุดในช่วงปีนี้ ให้ผลตอบแทนติดลบ 5.5% แต่กองที่ทุนทำผลงานแย่สุดในช่วงเวลาเดียวกัน ให้ผลตอบแทนติดลบถึง 48.5%
หุ้นญี่ปุ่น
กองทุนที่ทำผลงานดีสุดในช่วงปีนี้ ให้ผลตอบแทนบวก 6.8% แต่กองที่ทุนทำผลงานแย่สุดในช่วงเวลาเดียวกัน ให้ผลตอบแทนติดลบถึง 17.7%
สินค้าโภคภัณฑ์
กองทุนที่ทำผลงานดีสุดในช่วงปีนี้ ให้ผลตอบแทนบวกถึง 23.9% แต่กองที่ทุนทำผลงานแย่สุดในช่วงเวลาเดียวกัน กลับให้ผลตอบแทนติดลบ 6.8% (ข้อมูลจาก treasurist.com ณ 27 พ.ย. 65)
และจะเห็นได้ว่า
หากผู้ลงทุนมีข้อมูลและเครื่องมือที่เปรียบเทียบรายละเอียดและผลงานกองทุนได้ง่าย ชัดเจน
และครอบคลุมทั้งอุตสาหกรรม ก็จะมีแต้มต่ออย่างมากในการตัดสินใจลงทุน
ความเข้าใจผิด
#5 : กองทุนในตระกูลเดียวกัน
แบบจ่ายปันผล แบบไม่จ่ายปันผล แบบทยอยคืนทุน มีผลงานไม่ต่างกัน
ในช่วงหลายปีมานี้
บริษัทจัดการหลายแห่งนิยมนำเสนอตระกูลกองทุนที่มีการแบ่งประเภทย่อย (คลาส)
เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนมากขึ้น ทั้งแบบสะสมมูลค่า แบบจ่ายปันผล
และแบบทยอยคืนทุนอัตโนมัติ โดยกองทุนในตระกูลเดียวกันที่มีการแบ่งคลาสลักษณะนี้
จะสังเกตได้จากชื่อกองทุนที่มีชื่อส่วนต้นเหมือนกัน
แต่มีตัวอักษรห้อยท้ายต่างกันไป เช่น “-A” สะสมมูลค่า “-D”
จ่ายปันผล และ “-R” ทยอยคืนทุน
และเนื่องจากเป็นกองทุนในตระกูลเดียวกัน
จึงอาจเข้าใจผิดได้ว่า ผลงานรวม (Total Return) ของแต่ละกองทุนก็ย่อมเท่ากัน
แต่เนื่องจากการจ่ายเงินสดออกจากกองทุน ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายปันผลหรือคืนทุน
ย่อมเป็นการตัดกำลัง ไม่ให้กองทุนมีสินทรัพย์ไว้ลงทุนได้เต็มที่อย่างต่อเนื่อง
เมื่อนำเงินปันผลหรือเงินคืนทุนมาบวกกลับเข้าไปแล้ว มักพบว่าให้ผลตอบแทนรวมไม่เท่ากองทุนในตระกูลเดียวกันแบบสะสมมูลค่า
นอกจากนั้น
กองทุนที่จ่ายปันผล นักลงทุนประเภทบุคคลทั่วไปจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 10% อีกด้วย และมักไม่คุ้มที่จะขอคืนภาษี เท่ากับว่า กองทุนที่จ่ายปันผล นอกจากตัวกองทุนเองจะเสียพลังในการลงทุนออกไปเรื่อยๆ
แล้ว พลัง (เงินปันผล)
นั้นยังถูกตัดทอนออกไปอีกขั้นหนึ่งด้วยก่อนจะมาถึงกระเป๋าผู้ลงทุน
ตัวอย่างเช่น
กองทุนหุ้นปันผลของ บลจ. แห่งหนึ่ง มีการแบ่งคลาสเป็นแบบ -A และ -D ซึ่งมีราคาหน่วยลงทุน
ประวัติการจ่ายปันผลในช่วง 3 ปีล่าสุด ดังนี้
กองทุน
-A ราคาหน่วยลงทุน ณ 25 พ.ย. 62 เท่ากับ 18.1772
บาท/หน่วย และ 25 พ.ย. 65 เท่ากับ 19.4921 บาท/หน่วย โดยไม่มีการจ่ายปันผล
จึงมีผลตอบแทนในช่วงเวลาดังกล่าว 7.23%
กองทุน
-D ราคาหน่วยลงทุน ณ 25 พ.ย. 62 เท่ากับ 10.2241บาท/หน่วย และ 25 พ.ย. 65 เท่ากับ 9.985 บาท/หน่วย และในช่วงเวลาดังกล่าวมีการจ่ายปันผลรวมกัน 0.62 บาท/หน่วย
จึงมีผลตอบแทนรวมในช่วงเวลาดังกล่าว 3.73% และเมื่อหักภาษี ณ
ที่จ่ายด้วยแล้ว จะเหลือเงินปันผลสุทธิ 0.558 บาท/หน่วย เหลือเป็นผลตอบแทนรวมสุทธิ
3.12% (ข้อมูลจาก ThaiQuest ณ 27 พ.ย.
65) จะได้เห็นว่า กองทุน-A และ กองทุน-D ในช่วงเวลาเดียวกัน ให้ผลตอบแทนรวมต่างกันถึง 4.11% แม้จะบวกกลับเงินปันผลสุทธิเข้ามาแล้ว
จึงสรุปจากตัวอย่างนี้ได้ว่า
กองทุนในตระกูลเดียวกัน หากเลือกประเภทสะสมมูลค่า
ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนรวมสูงสุด และหากต้องการสภาพคล่องออกมาจากกองทุน
ก็สามารถสั่งขายได้เองทุกเมื่อในปริมาณที่ต้องการ
ขณะที่การรับเงินปันผลหรือเงินคืนทุนนั้น
จะขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของทีมผู้บริหารกองทุนเป็นหลักว่าจะจ่ายหรือไม่และเมื่อไร
ความเข้าใจผิด
#6 : กองทุนลดหย่อนภาษี SSF
RMF ซื้อกองไหนแล้วต้องถือกองนั้นยาว เปลี่ยนใจกลางทางไม่ได้
กองทุนลดหย่อนภาษีทั้งสองประเภท
แม้เงินลงทุนก้อนนั้นยังต้องถือยาวหลายปีตามเกณฑ์สรรพากร
แต่ระหว่างทางสามารถสลับกองทุนได้อิสระ ขอเพียงแค่สลับภายในกองทุนประเภทเดียวกัน (SSF ภายใน SSF และ RMF ภายใน RMF)
แต่จะสลับข้าม Asset Class (เช่น กองทุนหุ้นไปกองทุนตราสารหนี้)
หรือข้ามบริษัทจัดการ ก็สามารถทำได้ทั้งหมด
อย่างไรก็ดี
การสลับภายในบัญชีลงทุนเดียวกันและภายในกลุ่มกองทุนของบริษัทจัดการเดียวกัน
จะทำได้ง่ายสุด ส่วนการสลับข้ามบัญชีและข้ามบริษัทจัดการ จะมีขั้นตอนและระยะเวลาดำเนินการมากขึ้น
แต่ในทางปฏิบัติก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ ผู้ลงทุนท่านใดต้องการสลับกองทุนลดหย่อนภาษี
เพื่อให้สอดรับกับสภาวะการลงทุนที่เปลี่ยนไป สามารถสอบถามได้ที่ผู้ให้บริการที่ท่านมีเงินลงทุนอยู่