สหรัฐฯ VS จีน เส้นทางสานสัมพันธ์วิบาก 2023
การปะพบระหว่างประธานาธิบดี
Joe Biden แห่งสหรัฐฯ กับ ประธานาธิบดี Xi Jinping
ของจีน ในช่วงการประชุมชาติเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20
ประเทศ หรือ G20 ที่ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน
ได้สร้างความหวังให้แก่เวทีการเมืองและเศรษฐกิจโลกว่าสองชาติมหาอำนาจจะสามารถคลี่คลายความขุ่นข้องหมองใจในช่วงที่ผ่านมาลงได้บ้าง
และน่าจะเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับศักราชใหม่ 2023
เนื่องจากการพูดคุยใช้เวลานานราว 3 ชั่วโมง
ซึ่งน่าจะครอบคลุมประเด็นร้อนต่างๆ อาทิ กรณีไต้หวัน และ
การควบคุมการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีของสหรัฐฯ เป็นต้น โดยเนื้อหาสาระการเจรจาระหว่างสองผู้นำโลกไม่ได้เปิดเผยละเอียด
แต่คาดกันว่าจะช่วยลดการเผชิญหน้ากันขั้นรุนแรง
ซึ่งอาจนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจโลกในปีหน้า
แต่อย่างไรก็ตาม
ความคาดหวังในเชิงบวก อาจดับสลายลง เพราะปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนไป
โดยเฉพาะสถานการณ์การเมืองในสหรัฐฯ ที่เพิ่งผ่านพ้นการเลือกตั้งกลางเทอม
ผลที่ปรากฏก็คือ พรรคริพับลิกันได้ครองเสียงในสภาผู้แทนราษฎร
และจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในต้นปี 2023 ท่าทีของพรรคริพับลิกัน
ประกาศชัดเจนในกรณีจีน
ที่ว่าจะต้องสอดส่องพฤติกรรมของจีนทั้งในแง่เศรษฐกิจและความมั่นคงระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิดมากขึ้น
นอกจากนี้
พรรคริพับลิกันและพรรคเดโมแครต ซึ่งเหลือเวลาอีก 2 ปี
ที่จะลงสนามแข่งกันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งในปี 2024
ก็น่าจะใช้กรณีจีน
เป็นประเด็นหนึ่งในการเรียกคะแนนนิยมมาสู่ผู้สมัครในนามของพรรคอย่างแน่นอน ดังนั้น
ในช่วงเวลาที่เหลือ ทั้งพรรคริพับลิกันและพรรคเดโมแครตของรัฐบาล
ก็น่าจะเร่งทำผลงานที่แสดงให้คนอเมริกันเห็นว่าสหรัฐฯ
ยังคงเป็นชาติมหาอำนาจเบอร์หนึ่ง เหนือกว่าจีน
ไม่ว่าจะเป็นในแง่เศรษฐกิจหรือความมั่นคงระหว่างประเทศ
ทางด้านจีน
คาดว่า ในปี 2023 จีนน่าจะแสดงท่าทีตอบโต้สหรัฐฯได้ชัดเจนกว่าช่วงที่ผ่านๆ
มา จะสังเกตได้ว่า ในช่วงเดือนสิงหาคม ที่ นาง Nancy Pelosi ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ
ไปเยือนไต้หวัน ทั้งๆ ที่ทางการจีนไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว ซึ่งในที่สุด
รัฐบาลจีน ก็ตอบโต้สหรัฐฯเพียงยุติความร่วมมือระหว่างกันบางเรื่องบางโครงการเท่านั้น
แต่หันไปขู่ไต้หวันแทน ด้วยมาตรการซ้อมรบบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงกับไต้หวัน
ส่วนเรื่องที่สหรัฐฯออกมาตรการควบคุมการส่งออกสินค้าไฮเทคไปยังจีน
ตั้งแต่เดือนตุลาคม ทางการจีนก็ยังไม่ได้ตอบโต้ด้วยมาตรการใดๆ
เหตุผลสำคัญที่ทำให้รัฐบาล
Xi ดูเหมือนเยือกเย็นกับเหตุการณ์เหล่านั้น
เป็นเพราะจีนกำลังจะจัดการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ ช่วงกลางเดือนตุลาคม
และจะมีการแต่งตั้งให้นาย Xi ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคสมัยที่ 3
ซึ่งจะมีผลทำให้นาย Xi นั่งเก้าอี้ผู้นำจีนอีกสมัยหนึ่งตามไปด้วย
ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่า นาย Xi ไม่ต้องการทำอะไรที่จะส่งผลกระทบต่อการประชุมสำคัญครั้งนี้
แต่ที่น่าสังเกตก็คือ
หลังจากที่นาย Xi ได้รับความไว้วางใจจากพรรคให้ดำรงตำแหน่งสูงสุดของประเทศต่อไป
ผู้นำ Xi ได้เปิดฉากรายงานกับที่ประชุมหลายประเด็น
และที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง ได้แก่ การย้ำให้ที่ประชุมรับทราบว่า
จีนกำลังโดนข่มเหงรังแกทุกวิถีทางจากบางประเทศ
เพื่อยับยั้งไม่ให้จีนได้ก้าวไปสู่ความเจริญก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ ด้วยเหตุนี้ นาย Xi
จึงเน้นต่อที่ประชุมถึงความจำเป็นที่คนจีนต้องรวบรวมจิตวิญญาณทั้งหมด
เพื่อต่อสู้กับแรงต่อต้านเหล่านั้น ด้วยการพึ่งพาตนเองให้มากที่สุด
โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อันจะนำจีนก้าวไปสู่การเป็นประเทศที่ทันสมัย
มั่นคง และเท่าเทียมกันในที่สุด
ถ้อยแถลงดังกล่าว
สะท้อนว่า ในปี 2023
ทางการจีนคงไม่ยอมให้สหรัฐฯใช้ตัวบทกฎหมายกีดกันจีนในรูปแบบต่างๆ เพียงฝ่ายเดียว
แต่รัฐบาลจีนน่าจะมีมาตรการตอบโต้ที่สะเทือนสหรัฐฯเช่นกัน ทั้งนี้ ผู้นำ Xi
คงมีความพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับสหรัฐฯมากกว่าที่ผ่านมา
ด้วยสถานะประธานาธิบดีสมัยที่ 3 เรียบร้อยแล้ว อีกทั้ง การที่นาย Xi
ได้เข้าร่วมประชุมระดับนานาชาติสำคัญติดต่อกัน 2
เวที ได้แก่ G20 และ APEC ได้ตอกย้ำให้ประเทศต่างๆ
เห็นความมุ่งมั่นของจีน ที่ต้องการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประชาคมโลกให้น่าอยู่
ไม่ใช่ภัยคุกคามความมั่นคงโลก เหมือนที่บางประเทศหวาดกลัว
สหรัฐฯสกัดจีน...ก้าวสู่ผู้นำเทคโนโลยีชั้นสูง
ความสัมพันธ์สหรัฐฯกับจีน
ปีนเกรียวกันอย่างชัดเจน นับตั้งแต่อดีตประธานาธิบดี Donald Trump แห่งพรรครีพับลิกัน
ก้าวสู่ทำเนียบขาวปี 2017
ได้มีการเจรจาต่อรองเพื่อให้จีนลดความเหลื่อมล้ำทางการค้ากับสหรัฐฯอย่างจริงจัง
เพราะสหรัฐฯขาดดุลการค้ากับจีนมหาศาลและต่อเนื่อง แต่ผลการเจรจาเชื่องช้า
ไม่ทันใจประธานาธิบดี Trump จึงส่งผลให้สหรัฐฯใช้มาตรการกีดกันทางการค้ากับจีน
ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็นระยะๆ เพื่อกดดันจีนอย่างหนัก
ซึ่งทางด้านจีนก็ใช้มาตรการตอบโต้ทางภาษีกับสินค้าสหรัฐฯเช่นกัน
จนกลายเป็นสงครามการค้า
สถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯกับจีนในสมัยอดีตประธานาธิบดี
Trump จึงไม่สดใสแต่อย่างใด
ก่อให้เกิดความระส่ำระสายในเวทีการค้าและเศรษฐกิจโลกอย่างมาก
จนกระทั่งสหรัฐฯได้เปลี่ยนผู้นำใหม่ ได้แก่ ประธานาธิบดี Joe Biden แห่งพรรคเดโมแครต
ในปี 2021 นักวิเคราะห์ช่วงนั้น คาดว่าความสัมพันธ์สหรัฐฯกับจีน
น่าจะมีแนวโน้มผ่อนคลายมากกว่ายุค Trump
แต่ปรากฏว่า ประธานาธิบดี Biden มีแนวนโยบายเน้นด้านต่างประเทศเป็นสำคัญ ซึ่งอาจจะไม่ได้ให้น้ำหนักกับจีนเรื่องการค้าที่ไม่เป็นธรรมกับสหรัฐฯมากนัก แต่กลับมองว่า จีนกำลังเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของสหรัฐฯและนานาประเทศ ด้วยเหตุนี้ จึงได้เห็นบทบาทสหรัฐฯที่พยายามเข้าไปในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมากขึ้น เพื่อต้องการยับยั้งการแผ่อิทธิพลของจีนในย่านอินโด-แปซิฟิก
ในขณะเดียวกัน
ผู้นำ Biden ยังมองอีกว่า
มาตรการหนึ่งที่จะใช้บั่นทอนพลังของจีนก็คือ การควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงของสหรัฐฯให้แก่จีน
เพราะจีนอาจนำไปใช้ในการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพแห่งชาติจีน
และนำไปใช้เพื่อการสอดส่องความเคลื่อนไหวของชนกลุ่มน้อยในจีนด้วย
ดังนั้น
เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
ทางการสหรัฐฯจึงออกคำสั่งควบคุมการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงให้แก่บริษัทจีนและคนจีนอย่างเด็ดขาด
ซึ่งมีหลายรายการมากสุดเท่าที่เคยมีมา
โดยเน้นไปยังเทคโนโลยีด้านเซมิคอนดักเตอร์ที่จะใช้พัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI),
ซอฟต์แวร์ที่จะนำไปพัฒนาชิป (Chip) ให้มีสมรรถนะสูงขึ้น
รวมถึงเครื่องมือเครื่องจักรไฮเทคที่จะใช้ในการผลิตสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงทั้งหมด
อีกทั้งสหรัฐฯยังห้ามผู้ผลิตและส่งออกสินค้าไฮเทคของประเทศอื่นๆ
ที่ใช้เทคโนโลยีของสหรัฐฯ ส่งออกสินค้าเหล่านั้นไปยังจีนอีกด้วย
บทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน ได้แก่ หมดโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีสหรัฐฯอีกต่อไป
คำสั่งดังกล่าว
ย่อมสร้างความไม่พอใจแก่ทางการจีน
และก่อให้เกิดความหวั่นวิตกให้แก่บริษัทจีนและบริษัทต่างชาติในจีน
ที่ต้องพึ่งพาสินค้าไฮเทคจากสหรัฐฯเป็นชิ้นส่วนประกอบหรือใช้เป็นเครื่องมือในการผลิตสินค้าไฮเทคในจีน
แต่ถึงกระนั้น ทางการจีนก็ยังไม่ได้แสดงปฏิกิริยาตอบโต้อย่างเป็นรูปธรรม นอกจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์สหรัฐฯตามสื่อของจีน
โดยเฉพาะนักวิชาการจีนบางคน อาทิ Da Wei ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงของ
The Centre for International Security and Strategy แห่งมหาวิทยาลัยชั้นนำจีน
Tsinghua University ชี้ว่า
การกระทำของสหรัฐฯที่ควบคุมสินค้าไฮเทคต่อจีน เป็นแผนการที่สหรัฐฯต้องการทำลายเศรษฐกิจจีน
หรืออย่างน้อยก็บางภาคธุรกิจจีน ไม่ใช่เรื่องความมั่นคงของสหรัฐฯแต่อย่างใด
แต่น่าจะเป็นความปรารถนาที่สหรัฐฯอยากจะสร้างความเข้มแข็งของตนด้านเทคโนโลยี
โดยปราศจากคู่แข่งอย่างจีน
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ
ได้ออกมาปฏิเสธข้อวิจารณ์เหล่านั้น และเสริมว่า
ทางการสหรัฐฯเห็นว่าเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญด้านความมั่นคง
และจีนมีพฤติกรรมที่พยายามจะจัดระเบียบเศรษฐกิจและการเมืองโลกไปสู่แนวทางใหม่ของจีน
สหรัฐฯจึงจำเป็นต้องสกัดและควบคุมแผนการพวกนั้น ไม่ใช่เพื่อทำลายล้างเศรษฐกิจจีน
ผลกระทบ : สหรัฐฯทำร้ายตัวเอง?
มาตรการควบคุมสินค้าไฮเทคของสหรัฐฯที่ไม่ให้ส่งออกไปยังตลาดจีน
ไม่ได้สร้างความตื่นตระหนกเสียหายแก่ธุรกิจไฮเทคของจีนเท่านั้น
แต่ผู้ส่งออกสินค้ากลุ่มไฮเทคของสหรัฐฯก็เผชิญวิกฤติพอๆ กัน
เนื่องจากจีนเป็นตลาดนำเข้ารายสำคัญของสินค้าไฮเทคจากสหรัฐฯ ในรอบปี 2021
จีนได้นำเข้าเซมิคอนดักเตอร์จากสหรัฐฯ เป็นวงเงินราว 400,000
ล้านดอลลาร์ เช่น บริษัทชั้นนำสหรัฐฯ Intel มีรายได้จากการส่งออกไปจีนเป็นจำนวนเงิน
21,000 ล้านดอลลาร์ จากรายได้ทั้งหมดของบริษัทมูลค่า 79,000
ล้านดอลลาร์ ขณะที่บริษัท Nvidia ของสหรัฐฯที่ผลิตชิปขั้นสูง
เพื่อใช้งานเกี่ยวกับพัฒนาศูนย์ข้อมูล ก็ระบุว่า
บริษัทเสียหายจากมาตรการควบคุมการส่งออกสินค้าไฮเทคของรัฐบาลสหรัฐฯ
คิดเป็นมูลค่าราว 400 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3
ของปี 2022 เป็นต้น
ยิ่งไปกว่านั้น
บริษัทสหรัฐฯที่ส่งออกเครื่องมือเครื่องจักรที่ใช้ผลิตชิปขั้นสูง
ก็ได้รับผลกระทบอย่างมากเช่นกัน โดยบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ 3
แห่ง ได้แก่ Applied Materials, KLA และ Lam Research ได้ส่งออกผลิตภัณฑ์ของตนไปยังตลาดจีนอย่างเป็นล่ำเป็นสันในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
และมีแนวโน้มสดใส แต่มาตรการของรัฐบาล Biden คาดว่าจะทำให้บริษัททั้งสามต้องสูญเสียรายได้จากตลาดจีนไม่ต่ำกว่า
6,000 ล้านดอลลาร์ หรือ ราวเกือบ 10%
ของยอดขายที่คาดการณ์ไว้ในปี 2022 อีกทั้ง ราคาหุ้นของบริษัทชั้นนำทั้ง 3
ก็ลดลงทั่วหน้า ประมาณ 13-20%
เป็นที่น่าสังเกตว่า
มาตรการควบคุมการส่งออกสินค้าไฮเทค โดยเฉพาะชิปขั้นสูงของสหรัฐฯไปยังตลาดจีน
ยังมีส่วนซ้ำเติมให้บริษัทผลิตชิปของสหรัฐฯเอง
ซึ่งกำลังย่ำแย่จากความต้องการผลิตภัณฑ์ชิปในตลาดสหรัฐฯซบเซา
จนทำให้สินค้าขายไม่ได้ตามเป้าหมาย อีกทั้งราคาชิปก็โน้มต่ำลงด้วย
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ตลาดผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์ปรับเปลี่ยนสถานการณ์รวดเร็ว
จากที่เฟื่องฟูในช่วงแรกของปี 2022
กลับตาลปัตรเป็นอ่อนแอลงเป็นลำดับเมื่อย่างเข้าสู่กลางปีเป็นต้นมา
เนื่องจากผลิตภัณฑ์ชิปเริ่มล้นตลาด
สินค้าไฮเทคที่ใช้ชิปเป็นชิ้นส่วนประกอบต่างมียอดขายชะลอตัวลงชัดเจน เช่น
เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น
เพราะผู้บริโภคซื้อสินค้าไฮเทคกลุ่มนี้อย่างมากในช่วงล็อกดาวน์โควิดไปแล้ว
ทำให้ระยะนี้ ความต้องการลดลงตามวัฏจักรเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ บริษัทหรือโรงงานที่ต้องใช้ชิปเป็นชิ้นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ตน เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ ฯลฯ ก็มีการเก็บสต๊อกของชิปเป็นจำนวนมากก่อนหน้านี้ เพราะกลัวปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทาน จึงประเมินกันว่าในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน 2022 ภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการใช้ชิปเป็นชิ้นส่วนประกอบ มีจำนวนสต็อกของชิปสูงกว่าความต้องการใช้แท้จริงถึง 40% จึงทำให้บริษัทต้องทยอยนำสต๊อกเหล่านั้นออกมาใช้ก่อน ส่งผลให้ความต้องการซื้อในปัจจุบันลดลง
ปัญหาของเซมิคอนดักเตอร์สหรัฐฯ
ไม่ได้เกิดขึ้นจากด้านอุปสงค์หรือความต้องการของตลาดที่ซบเซาลงเท่านั้น
แต่ยังมาจากด้านปริมาณของชิปที่กำลังล้นตลาด และมีแนวโน้มว่าจะท่วมตลาดในอนาคต
เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯได้ผ่านกฎหมาย CHIP Act ที่จะให้เงินสนับสนุนโครงการผลิตชิปทุกประเภทในประเทศสหรัฐฯ
เงินทุนทั้งหมดมีมูลค่าราว 52,000 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้
บริษัทไฮเทคชั้นแนวหน้าสหรัฐฯหลายแห่ง รวมถึงบริษัทชั้นนำต่างประเทศ
ต่างสนใจขยายการผลิตสินค้าไฮเทคในสหรัฐฯ เพราะจะได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลอเมริกัน
วัตถุประสงค์ของรัฐบาลสหรัฐฯก็คือ
ต้องการให้อุตสาหกรรมไฮเทคต่างๆ มาปักหลักการผลิตในสหรัฐฯ
ซึ่งจะช่วยให้สหรัฐฯลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ
ป้องกันไม่ให้ปัญหาห่วงโซ่อุปทานด้านชิป เกิดขึ้นอีกเหมือนช่วงโควิด
อย่างไรก็ตาม
มาตรการบิดเบือนตลาด ด้วยการควบคุมการส่งออกสินค้าไฮเทค
โดยเฉพาะชิปไปยังตลาดสำคัญอย่างจีน
อีกทั้งยังอุดหนุนการผลิตในประเทศอย่างมากของสหรัฐฯ จะทำให้กลไกตลาดผิดเพี้ยน
จึงคาดว่าผลิตภัณฑ์ชิปและสินค้าไฮเทคบางรายการมีแนวโน้มล้นตลาด และราคาตกต่ำ
ไม่เป็นผลดีแก่บริษัทไฮเทคสหรัฐฯและเศรษฐกิจโดยรวม
จีนรับประโยชน์จากมาตรการสหรัฐฯ?
หากพิจารณาผิวเผิน
จีนจะได้รับผลกระทบเชิงลบจากการควบคุมการส่งออกสินค้าไฮเทคของสหรัฐฯไปยังตลาดจีนอย่างแน่นอน
แต่ไม่ได้เลวร้ายทั้งหมด เพราะสถานการณ์บีบคั้นเหล่านั้น
จะยิ่งเร่งรัดให้ทางการจีน รีบนำประเทศพึ่งพาตัวเองอย่างยิ่งยวด
เฉกเช่นที่ประธานาธิบดี Xi ได้กล่าวไว้ในที่ประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ที่ผ่านมา
จึงมีความเป็นไปได้ว่า
รัฐบาลจีนจะสนับสนุนทางการเงินเต็มที่ให้แก่บริษัทชั้นนำด้านไฮเทคของตน
เพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพทางด้าน R&D มากที่สุด
จะได้ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแขนงต่างๆ อย่างรวดเร็ว ดังนั้น
มาตรการของสหรัฐฯครั้งนี้
ถือว่ามีส่วนช่วยให้จีนมีพลังขับเคลื่อนประเทศอย่างเต็มพิกัด
ตัวอย่างที่แสดงว่า
มาตรการควบคุมสินค้าไฮเทคของสหรัฐฯไม่ได้ทำร้ายแก่จีนเท่านั้น
แต่กลับช่วยให้จีนมีทางออกที่ก้าวหน้าต่อไป เช่น บริษัทไฮเทคชั้นนำ Huawei ที่โดนสหรัฐฯเล่นงานมาก่อนด้วยมาตรการดังกล่าว
ด้วยข้อกล่าวหาว่า เป็นภัยความมั่นคง
จนบริษัทฯต้องเผชิญวิบากกรรมมากมายจากมาตรการนั้น เช่น ยอดขายของบริษัทลดลงเกือบ 30%
ในปี 2021 จากที่เคยทำยอดได้สูงถึง 140,000
ล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้า อีกทั้งรายได้จากธุรกิจจำพวกเครื่องมือและอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ
ในช่วง 9 เดือนแรก 2022
ก็ชะลอตัว คาดว่าบริษัทจะมีรายได้ทั้งหมดในไตรมาส 3
เพิ่มขึ้นราว 6.5%
อย่างไรก็ตาม
บริษัทก็ยังยืนหยัดอยู่ได้
แม้ว่าจะต้องลดบทบาทการเป็นผู้นำทางด้านสื่อสารโทรคมนาคมแนวหน้าของโลกลง แต่บริษัทได้พัฒนาความร่วมมือใหม่ๆ
กับหลายประเทศ ทางด้านอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ต้องการใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพ
รวมถึงภาคการเกษตรด้วย ทำให้ Huawei เข้าสู่ธุรกิจไฮเทคที่เป็นทั้งที่ปรึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีให้แก่ภาคธุรกิจต่างๆ
เพื่อใช้งานเต็มคุณภาพอย่างคุ้มค่าที่สุด
ดังนั้น
นักเศรษฐศาสตร์จึงมองว่า ในภาพรวมมาตรการควบคุมการส่งออกสินค้าไฮเทคของสหรัฐฯ
ไม่น่าจะสามารถหยุดยั้งจีนจากการเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของสหรัฐฯในสนามเทคโนโลยีแห่งอนาคตได้สำเร็จ
และตราบใดที่สหรัฐฯและจีน ยังคงหวาดระแวงซึ่งกันและกัน โอกาสที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งต่อกัน
ก็จะยิ่งมีมากขึ้นในปี 2023