ONLINE MAGAZINE

บิตคอยน์ ไปต่อ...หรือย่อก่อน

บทความโดย: Admin

ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ตลาดสินทรัพย์ดิจิตอลเข้าสู่ช่วงขาขึ้นหรือ Bull Run เพียงแค่จิ้มลงทุนในเหรียญ Altcoin (โทเค็นดิจิทัลต่างๆ ที่ไม่ใช่เหรียญในกระแสหลัก) ที่ไม่ว่าจะลงทุนตัวไหนล้วนได้กำไรอย่างไม่น่าเชื่อ 

สำหรับบิตคอยน์ (Bitcoin) ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิตอลอันดับ 1 ของโลกราคาพุ่งทะยานเหนือ 19,000 ดอลลาร์ ก่อนดิ่งลงกว่า 15% แต่แล้วเมื่อคืนวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563  (ตามเวลาไทย )ราคาบิตคอยน์ ได้สร้างจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาล (All-Time-High) ที่ 19,857 ดอลลาร์ (ที่ระดับ 589,700 บาท บนกระดาน Bitkub) ลบสถิติเดิมที่ระดับ 19,666 ดอลลาร์ ที่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่กลางเดือนธันวาคมของปี 2017 (พ.ศ.2560)ได้สำเร็จ 

ปี 2563 ถือเป็นปีที่สดใสของบิตคอยน์ โดยให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (YTD) ที่ 170% เฉพาะเดือนพฤศจิกายนเดือนเดียว ราคาบิตคอยน์ปรับขึ้น 30% ขณะที่เหรียญอื่นๆอย่าง Chainlink สร้างผลตอบแทนสูงสุดที่ 707% รองลงมาคือ ETH 388% XLM 304% และ XRP 236% 

เหตุการณ์นี้นับเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์สำคัญของวงการคริปโตเคอร์เรนซี  รายงานจากเวปไซด์ของบริษัท บิทคับ (bitkub.com) ระบุถึงหตุผลหลักที่ราคาบิตคอยน์สามารถปรับขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่องตลอดปีนี้มาจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ โดยเฉพาะสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เช่น การปรับลดดอกเบี้ย หรือพิมพ์เงินเพิ่ม (มาตรการคิวอี)เพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจจากวิกฤติโควิด-19 แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่อาจทำให้สกุลเงินดอลลาร์สูญเสียมูลค่าไปได้ และไม่ใช่แค่สหรัฐฯ เท่านั้น หลาย ๆ ภาคเศรษฐกิจทั่วโลกก็มีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะเดียวกัน

นอกจากนี้ ยังมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการที่บรรดาสถาบันทางการเงินรายใหญ่ ๆ เริ่มหันมาให้ความสนใจในบิตคอยน์และคริปโตเคอร์เรนซีต่าง ๆ เพื่อถือเป็นทรัพย์สินสำรอง เช่นสถาบัน Greyscale ที่เข้าถือบิตคอยน์มากกว่า 500,000 ดอลลาร์ คิดเป็นมูลค่ารวมมากกว่า 8.3 พันล้านดอลลาร์ 

แต่ข่าวที่สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการคริปโตมากที่สุด ก็คือข่าวที่ Paypal ประกาศเตรียมเปิดให้บริการชำระเงินด้วยคริปโตเคอร์เรนซีภายในปี 2021 หรือพ.ศ. 2564 นี้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ Paypal เกือบ 300 ล้านรายสามารถเข้าถึงคริปโตได้นั่นเอง

มุมมองนักวิเคราะห์

Sergey Nazarov ผู้ร่วมก่อตั้ง Chainlink มีมุมมองว่าราคาบิตคอยน์มีโอกาสปรับขึ้นไปสูงกว่าระดับ 100,000 ดอลลาร์ เนื่องจากตลาดเริ่มคุ้นเคยกับคำว่า "ทองคำดิจิทัล" ที่เป็นอีกฉายาหนึ่งของบิตคอยน์ ทำให้เกิดกระแสเงินทุนส่วนหนึ่งไหลออกจากตลาดทองคำเข้าสู่ตลาดบิตคอยน์แทน

 2 ปัจจัยหนุนราคาบิตคอยน์

1.สัญญาณของภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ และความเชื่อมั่นในนโยบายการเงินปัจจุบันที่เริ่มอ่อนแอลง จึงทำให้นักลงทุนพยายามมองหาทางเลือกการลงทุนที่จะสามารถรักษามูลค่าของสินทรัพย์เอาไว้ 

2.ความต้องการลงทุนใน Decentralized Finance หรือ DeFi ที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากนักลงทุนเริ่มหันมาให้ความสนใจกับการทำ Yield Farming ที่สูงขึ้นตามการเติบโตของตลาด DeFi – Sergey Nazarov, Co-founder of Chainlink, Market Insider, 30 Nov 2020

John Todaro ผู้บริหารสถาบัน TradeBlock มองว่า “ทิศทางขาขึ้นของบิตคอยน์ครั้งนี้แตกต่างกับขาขึ้นในปี 2017 และเชื่อว่าขาขึ้นครั้งนี้น่าจะคงอยู่ได้นานกว่า อันเนื่องมาจากการขึ้นของราคาครั้งนี้มีปัจจัยหลักมาจากการเข้าซื้อบิตคอยน์เพื่อถือครองเป็นสินทรัพย์สำรองของบรรดาสถาบันการเงิน โดยเฉพาะสถาบันในแถบอเมริกาเหนือ – John Todaro, CEO of TradeBlock, Coinbase, 30 Nov 2020

สอดคล้องกับ Christopher Bendiksen หัวหน้าฝ่ายวิจัยจาก CoinShares เห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่าการขึ้นของบิตคอยน์ รอบนี้เป็นการเข้าซื้อจากทั้งฝั่งสถาบันและนักลงทุนทั่วไป 

ทั้งนี้ ความเห็นนักวิเคราะห์ด้านบนมีขึ้นเพื่อนำเสนอมุมมองของผู้เชี่ยวชาญในตลาดเท่านั้น ไม่ได้เป็นการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด

                           

                        กราฟราคาบิตคอยน์


จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้เชี่ยวชาญด้าน Cryptocurrency & Blockchain Technology ผู้ก่อตั้งบริษัท บิทคับ และกรรมการสมาคมฟินเทคประเทศไทย เผยถึงภาพรวมตลาดคริปโตฯในปัจจุบันว่าเหมือนตลาดซื้อขายสินทรัพย์ทั่วๆไปไม่ว่าจะเป็นตลาดการเงินหุ้นหรือแม้แต่ตลาดทองทุกอย่างล้วนมีขาขึ้นขาลง ขณะที่ตลาดสินทรัพย์ดิจิตอลนั้นถือว่าเป็นตลาดน้องใหม่ที่เปิดตัวมาค่อนข้างน่าสนใจ  

ดังนั้น ราคาของสินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตลอดระยะเวลา 2-3 เดือนมานี้ไม่ได้เกิดขึ้นด้วย ความบังเอิญแต่มีหลายสาเหตุด้วยกัน 

          1. เหตุการณ์ Bitcoin Halving รอบล่าสุดส่งผลให้รางวัลที่ได้จากการขุดหรือการยืนยันธุรกรรมของบิตคอยน์นั้นลดลงถึงครึ่งหนึ่ง ส่งผลให้จำนวนนักขุดที่มีแรงขุดหรือทรัพยากรในมือที่สามารถแย่งชิงกันยืนยันธุรกรรมก่อนได้นั้นลดลงน้อยลงไปเนื่องจากการขุดเริ่มทำให้ไม่คุ้มทุน และเมื่อทรัพยากร หรือผู้ที่ทำการยืนยันธุรกรรมต่างๆนั้นลดจำนวนลงสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือการยืนยันทรานแซคชั่นที่ช้าลงอย่างมาก ดังนั้น ในการซื้อขายหรือถ่ายโอนเหรียญบิตคอยน์ นักลงทุนจำเป็นต้องเพิ่มเงินค่าธุรกรรมให้แพงขึ้นเพื่อความรวดเร็วในการโอนถ่ายธุรกรรม 

สิ่งนี้ส่งผลเป็นลูกโซ่  โดยเฉพาะเว็บเทรดต่างๆทั่วโลกที่เป็น Global ส่วนมากแล้วจะไม่มีคู่เทรดเงินสดกับเหรียญต่างๆ แต่จะใช้เหรียญกระแสหลักในการจับคู่ซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิตอล โดยส่วนมากเหรียญที่เป็นสกุลหลักในการเป็นตัวกลางซื้อขาย ได้แก่ ETH, USDT และแน่นอนเหรียญที่ได้รับความนิยมที่สุดคือ บิตคอยน์ และเมื่อบิตคอยน์ที่ถือกำเนิดใหม่นั้นมีจำนวนลดลงไปถึงครึ่งหนึ่ง ส่งผลให้บิตคอยน์ที่หมุนเวียนอยู่ในตลาด จึงเป็นสิ่งที่ล่อตาล่อใจนักลงทุนมาก  รวมไปถึงด้วยค่าธรรมเนียมในการเทรดที่สูงขึ้นเหรียญบิตคอยน์ จึงเปรียบเสมือนอีกหนึ่งแรงดึงที่จุดให้มูลค่าของเหรียญเล็กๆ พุ่งสูงตามไปด้วย 

         2. เชื่อว่าเป็นสินทรัพย์ทางเลือกใหม่ของโลก หลังพ้นจากวิกฤตของโรคระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก มีธุรกิจล้มหายตายจากไปหรือสูญเสียมูลค่าอย่างมหาศาลจากเหตุการณ์นี้  เช่น ธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว, อสังหาริมทรัพย์ , ที่ดิน , ธุรกิจโรงแรมและการเดินทางต่างๆ  ซึ่งนอกจากมูลค่าของกองทุนรวมหรือแม้กระทั่งหุ้นที่เกี่ยวกับธุรกิจเหล่านี้ล้วนสูญเสียมูลค่าและสูญเสียความเชื่อมั่นจากนักลงทุนอย่างมหาศาล แต่ในขณะเดียวกันธุรกิจที่เกี่ยวกับดิจิตอลหรือโลกยุคใหม่หรือธุรกิจที่สามารถทำได้ในโลกออนไลน์กลับมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นอย่างฉุดไม่อยู่ เช่น หุ้น Zoom, Slack, หรือแม้แต่แพลตฟอร์มร้านค้าออนไลน์ต่างๆ ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากคนกักตัวอยู่ในบ้านการเลือกซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ซึ่งเป็นช่องทางที่สะดวกสบาย 

 

       3. สถาบันทางด้านสินทรัพย์และการเงินระดับโลกหลายแห่งหันมาให้ความสนใจและถือครองในสินทรัพย์ดิจิตอลมากขึ้น  ซึ่งในขณะเดียวกันประเทศไทยเองข่าวใหญ่ที่พึ่งออกมาไม่นานก็คือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ร่วมมือกับ KTGB ในการพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับการเทรดที่จะให้บริการครอบคลุมทุกอย่างรวมไปถึงการทำ STO (Securities Token Offering) 

         4. ข่าวการมาของ ETH 2.0 และการ HardFork ของเหรียญ BCH และ XRP ที่กำลังจะมาถึง สำหรับเหรียญ ETH นั้นมีประกาศมาก่อนหน้านี้ว่าจะมีการอัพเดทระบบบล็อกเชนของตนเป็นเวอร์ชั่น 2.0  ซึ่งฟีเจอร์นี้จะสามารถทำให้ขอบเขต ความเร็ว รวมไปถึงความเสถียรของเครือข่ายนั้นมีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าวของเหรียญ BCH และ XRP ที่จะมีการ Hard fork เกิดขึ้นหรือเรียกง่ายๆก็คือใครที่ถือเหรียญ BCH และ XRP ไว้ในมือนั้นจะสามารถได้รับโทเคนใหม่หรือเหรียญอื่นๆ ที่จะ Hard Fork มาได้ฟรีๆ  สิ่งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่นักลงทุนต่างแย่งชิงซื้อเหรียญเหล่านี้มาครอบครอง 

จากปัจจัยทั้งหมดจึงเป็นเหตุผลสนับสนุนว่าแม้ว่าตลาดโลกยังคงสะดุดกับภาวะการระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่ตลาดคริปโตฯโดยเฉพาะบิตคอยน์นั้นยังอยู่ในขาขึ้นและกำลังเป็นที่น่าจับตาของทั้งนักลงทุนมือเก๋าและนักลงทุนหน้าใหม่