ประกันเงินออม ต่างจาก การออมเงิน อย่างไร?
หลากหลายคนคงถูกปลูกฝังมาตั้งเเต่เด็กเกี่ยวกับการออมเงิน
ในปัจจุบันการออมเงินมีการปรับเปลี่ยนรูปเเบบเเละมีให้เลือกหลายประเภททั้งออมในเงินฝากธนาคาร
ออมในหุ้นหรือลงทุนในกองทุนรวม RMF/LTF
ซึ่งคุณจะออมเงินประเภทใดขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่คุณรับได้
ซึ่งการออมเงินในเงินฝากธนาคารเป็นอีกการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อย เงินต้นไม่หาย
ทำให้มีการสร้างสิทธิประโยชน์จากการเงินออมมากขึ้น
รวมถึงการทำประกันชีวิตประเภทเงินออมเช่นกัน ที่นอกจากคุณจะได้มีเงินออมเเล้วยังได้ความคุ้มครองเพิ่มขึ้นอีก
การออมเงินในเงินฝากธนาคาร
(ออมเงิน)
การออมเงินในเงินฝากธนาคาร
คือการนำเงินที่ถูกหักลบจากรายได้เเละรายจ่ายเรียบร้อย
ไปฝากธนาคารเมื่อเงินสะสมขึ้นมาเรื่อยๆ คุณจะได้เงินเพิ่มขึ้นจากดอกเบี้ย
ตามอัตราดอกเบี้ยของธนาคารที่คุณไปฝาก
โดยค่าเฉลี่ยอัตราดอกเบี้ยสำหรับเงินฝากอยู่ที่ 1.3% - 1.5% ต่อปี เช่น
คุณออมเงินโดยการฝากธนาคารเดือนละ 1,000 บาท เมื่อครบ 12 เดือนหรือ 1 ปี
เงินฝากทั้งหมดของคุณคือ 12,000 บาท เมื่อนำมาบวกกับดอกเบี้ย 1.5% ของเงินต้นต่อปี
คือ 180 บาท เท่ากับว่าคุณมีเงินฝากทั้งสิ้น 12,180 บาท
ถึงเเม้เงินที่เพิ่มขึ้นมาจะน้อยเเต่เงินที่คุณไปฝากหรือเรียกว่าเงินต้นยังอยู่ครบ
เนื่องจากความเสี่ยงน้อย ผลตอบเเทนที่ได้รับก็น้อยตามไปด้วย
ประกันชีวิตประเภทสะสมทรัพย์
(ประกันเงินออม)
ประกันชีวิตแบบเงินออมคล้ายกับการออมเงิน
ต่างตรงที่จะได้รับความคุ้มครองชีวิตเพิ่มขึ้นมา ข้อดีคือคุณจะได้เก็บเงินจริงๆ
เพราะไม่สามารถถอนออกก่อนวาระที่คุณได้ทำสัญญาไว้ เช่น คุณทำประกันชีวิตแบบเงินออม
10 ปี ภายใน 10 ปีนี้คุณไม่สามารถถอนเงินได้เลย
แต่หากมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินก่อนครบกำหนดสัญญา คุณจะได้มูลค่าเวนคืนกรมธรรม์ซึ่งอาจจะไม่เท่ากับเงินค่าเบี้ยประกันชีวิตที่คุณเคยจ่ายมาทั้งหมด
ซึ่งประกันชีวิตแบบเงินออมมีทั้งระยะสั้น 10-15 ปี หรือระยะยาว 16-20 ปี
ซึ่งเงินที่คุณออมทุกเดือนจะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับประกันชีวิตที่คุณได้เลือกทำ
ความเเตกต่างระหว่างการออมเงินเเละประกันชีวิตประเภทเงินออม
สังเกตได้ว่าทั้งการออมเงินเเละประกันชีวิตเงินออมมีความคล้ายคลึงกันมาก
อาจเกิดข้อสงสัยว่า เเล้วทั้งสองประเภทเเตกต่างกันอย่างไร
เราจึงเเยกความเเตกต่างของการออมเงินเเละประกันเงินออมเป็นตารางเเละข้อมูลให้คุณได้เห็นภาพชัดขึ้น
ความแตกต่างของการออมเงินและประกันเงินออม
1. ผลตอบเเทนและสภาพคล่อง
ทั้งการออมเงินเเละประกันชีวิตเงินออมได้ผลตอบเเทนระหว่างทางเหมือนกัน
โดยเงินฝากธนาคารจะเรียกว่าเงินจากอัตราดอกเบี้ยแต่ผลตอบแทนจากประกันชีวิตแบบเงินออม
เรียกว่า เงินจ่ายคืนตามกรมธรรม์ ซึ่งประกันชีวิตแบบเงินออมจะได้มากกว่า
หรือน้อยกว่าขึ้นอยู่กับแบบประกันที่ลูกค้าเลือก
ทั้งนี้หากเปรียบเทียบเรื่องสภาพคล่อง
ประกันชีวิตแบบเงินออมอาจมีสภาพคล่องที่น้อยกว่าการออมเงินในธนาคารเพราะไม่สามารถถอนได้จนกว่าจะครบกำหนดตามสัญญาประกันชีวิต
ดังนั้น ประกันชีวิตแบบเงินออมจึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีเป้าหมายเพื่อออมทั้งเงินเเละทำประกันชีวิตไปพร้อมๆ
กัน
2. ระยะเวลาฝาก
เมื่อคุณออมเงินกับธนาคารคุณจะฝากนานเเค่ไหนก็ได้เพราะดอกเบี้ยต่อปียังคงเท่าเดิม
เเต่ต้องมีวินัยมากเพราะเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินมีโอกาสที่คุณจะถอนเงินก่อนเเผนที่ตั้งไว้
ทำให้ไม่มีเงินเก็บเป็นก้อนจริงๆ
ในขณะที่ประกันชีวิตแบบเงินออมจะมีเป้าหมายชัดเจนว่าคุณต้องจ่ายเบี้ยประกันทุกเดือนหรือทุกปีขึ้นอยู่กับเงื่อนไขตามเวลาที่กำหนดไว้
ไม่สามารถถอนก่อนกำหนดได้
3. ภาษี
เงินที่ได้จากประกันชีวิตแบบเงินออมคุณจะไม่เสียภาษีใดๆ
นั่นหมายถึงคุณจะได้รับเงินเต็มจำนวนเมื่อครบกำหนดตามสัญญาประกันชีวิต
เเต่ถ้าคุณฝากเงินกับธนาคารคุณจะต้องเสียภาษีอีก 15%
นั่นหมายถึงเงินที่คุณจะได้รับกลับมาจะถูกหักออกไปอีก
ถ้าคุณจะออมเงินที่ธนาคารจึงควรเป็นระยะยาวมากกว่าถึงจะคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป
4. ลดหย่อนภาษี
ประกันชีวิตแบบเงินออมที่มีอายุกรมธรรม์มากกว่า
10 ปีขึ้นไป สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ (สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท)
เเต่เงินออมฝากธนาคารปกติไม่สามารถลดหย่อนได้
5. ความคุ้มครองชีวิต
ความคุ้มครองชีวิตขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการออมเงินของคุณ
ได้รับความคุ้มครองชีวิตพร้อมการออมเงินไปในตัว
ประกันชีวิตแบบเงินออมสามารถตอบโจทย์ได้มากกว่าการออมเงินในธนาคารซึ่งไม่สามารถคุ้มครองชีวิตคุณได้
สิ่งที่ต้องคำนึงก่อนซื้อประกันชีวิตแบบเงินออม
เป้าหมายทางการเงิน
สิ่งเเรกสำหรับการวางเเผนการเงินทุกประเภท
คือการตั้งเป้าหมายทางการเงินที่เเน่นอน เพราะวินัยในการออมเงินสำคัญมาก
ถ้าคุณหลุดเพียงครั้งเดียวอาจทำให้เเผนทางการเงินของคุณพังลงได้
โดยเป้าหมายของประกันชีวิตแบบเงินออมคือ การออมเงินในรูปแบบของความคุ้มครอง
ช่วยให้คุณอุ่นใจในอนาคตว่ามีเงินเเละมีความคุ้มครองชีวิตคุณอยู่
กำลังในการจ่ายเบี้ยประกัน
ระยะเวลาในการทำประกันชีวิตแบบเงินออมจะส่งผลต่อเบี้ยประกัน
เช่น ถ้าเป้าหมายในอีก 5 ปีของคุณคือทำธุรกิจ คุณก็ควรทำประกันเงินออม 5 ปี
ทางบริษัทประกันก็จะคำนวณค่าเบี้ยประกันรายเดือนหรือรายปีตามเงื่อนไขของแบบประกันชีวิตที่คุณต้องจ่าย
เเต่ถ้าเป้าหมายของคุณคือเกษียณอยากทำประกันเงินออมระยะยาวค่าเบี้ยประกันคุณจะเป็นอีกเเบบซึ่งมากน้อยเพียงใดคุณต้องดูกำลังที่คุณไหว
ว่าในช่วง 5 ปีหรือ 10 ปี ข้างหน้าคุณอยากมีเงินเท่าไร
ความน่าเชื่อถือของบริษัทประกัน
บริษัทประกันเเต่ละที่จะมีสิทธิประโยชน์ต่างกัน
เเละความมั่นคงก็ต่างกันด้วย คุณจึงควรเลือกบริษัทประกันที่มั่นคงทั้งทางการเงิน
ภาพลักษณ์ ประวัติ
เพราะถ้าบริษัทประกันไม่มั่นคงมีโอกาสที่ยุติลงก่อนวาระที่คุณจะได้เงินประกันกลับมา