Maserati Ghibli Hybrid สปอร์ตซีดานหรู คู่พลังไฮบริด
หากกล่าวถึงอิตาลี หลายคนอาจนึกถึงประเทศที่เต็มไปด้วย อารยธรรมและศิลปะทางวัฒนธรรมเก่าแก่บ่งบอกถึง ประวัติศาสตร์อันยาวนานอย่าง โคลอสเซียม วิหารพาร์เธนอน หอเอนเมืองปิซา รวมถึงเป็นประเทศที่รวบรวมจิตรกรชื่อดัง ของโลกไว้หลายคน แต่อีกสิ่งหนึ่งที่อิตาลีมีชื่อเสียงโด่งดัง มากคือ รถยนต์ เพราะอิตาลีคือประเทศที่เป็นจุดกำเนิด ของแบรนด์ซูเปอร์คาร์ชั้นนำของโลกหลายแบรนด์
ทีมงาน การเงินธนาคาร ได้มีโอกาศเยือนโชว์รูม Maserati Thailand ซึ่ง Maserati เป็นแบรนด์รถซูเปอร์คาร์จากอิตาลี ที่สร้างชื่อเสียงทั่วโลก ทั้งในสนามแข่งและบนท้องถนนมากว่า 107 ปี และได้ลองสัมผัส Maserati Ghibli Hybrid สปอร์ตซีดานหรู ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของมาเซราติ กับการเข้าตลาดเครื่องยนต์ไฮบริดที่ใช้ระบบไฟฟ้าในการช่วยเพิ่ม ศักยภาพในการขับขี่
ความรู้สึกแรกที่ได้เห็นเจ้า Ghibli Hybrid นั้น ต้องบอกเลยว่า ผิดจากที่ คาดไว้มาก เพราะมีดีไซน์ที่เรียบง่าย เหมือนรถซีดานทั่วไปตามท้องถนน แตกต่างจากอัตลักษณ์ของรถอิตาลี แบรนด์อื่นที่มักจะมีดีเอ็นเอในการ ออกแบบเฉพาะตัว เข้าถึงและใช้งาน ในชีวิตประจำวันได้ยาก แต่ด้วยความ เรียบง่ายของ Ghibli Hybrid นั้น กลับทำให้รู้สึกว่าใครก็สามารถขับรถ คันนี้ได้ เข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย และสามารถใช้งานได้จริง ในชีวิตประจำวัน
ดีไซน์ภายนอกของ Ghibli Hybrid ถูกยกมาจากดีไซน์ ของ Ghibli ตัวเดิมซึ่งเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยม มียอด จำหน่ายสู งกว่า100,000 คัน นับตั้ งแต่ เปิดตัวช่วงปี 2013 โดยสิ่งที่แสดงถึงความเป็นรุ่นไฮบริดก็คือ การใช้สีน้ำเงิน กับ 3 ช่องระบายอากาศด้านข้าง สัญลักษณ์สายฟ้าของ โลโก้ตรีศูลบริเวณเสาซี เพื่อสื่อถึงเทคโนโลยีไฟฟ้าและ โลกแห่งอนาคต กระจังหน้าก็ผ่านการออกแบบใหม่ ซี่กระจัง มีลักษณะคล้าย “ส้อมเสียง” เครื่องดนตรีชนิดหนึ่งที่มี เสียงใสชัด แสดงถึงเสียงเครื่องยนต์ที่แม้จะเป็นไฮบริด แต่ยังให้เสียงที่เร้าใจแก่ผู้ขับอยู่เช่นเดิม
ภายในถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย ความรู้สึกแรกเมื่อ ขึ้นไปนั่งตำแหน่งผู้ขับขี่คือ รู้สึกผ่อนคลายด้วยเบาะโดยสาร ที่ดีไซน์มารับกับสรีระเป็นอย่างดี ทุกพื้นผิวที่ร่างกาย
สามารถสัมผัสได้ไม่ว่าจะเป็น เบาะนั่งที่เท้าแขนพวงมาลัยถูกหุ้มด้วยหนังแท้เกรดพรีเมี่ยม ให้ความรู้สึกนุ่มสบาย อีกทั้งยัง สามารถเลือกเกรดของหนังเองได้ตามความต้องการ ข้อสังเกต โดยส่วนตัว รู้สึกว่าตำแหน่งของแป้นคันเร่งกับเบรกอยู่ชิดกันไปนิด เนื่องมาจากซุ้มล้อที่มีขนาดใหญ่เบียดเข้ามาทางฝั่งขวา แต่โดยรวม ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นตำแหน่งที่ขับยากจนอึดอัด
ที่คอนโซลกลางมีจออินโฟเทนเมนท์ Maserati Touch Control Plus ขนาด
10.1 นิ้ว ซึ่งเป็นจอรุ่นใหม่ สามารถควบคุมระบบต่างๆ ของรถ
ไม่ว่าจะเป็นระบบปรับอากาศ มัลติมีเดีย และมีตำแหน่ง
จอที่ยื่นออกมาตรงกลางทำให้เวลาต้องการสัมผัสหน้าจอ ทั้งผู้ขับขี่
และผู้โดยสารตอนนี้ไม่ต้องเอนตัวไปด้านหน้า แม้หน้าจอ
จะไม่ไหลลื่นมากเหมือนจอสมาร์ตโฟนรุ่นท็อป แต่ความชัดของ จอบอกเลยว่า คมมาก
แบบตัวอักษร การแสดงผลมัลติมีเดียต่างๆ ทำได้ในเกณฑ์ดี
กล้องรอบคันก็แสดงผลชัดมากและมีระยะเลน
ที่สามารถตัดสินใจอย่างเด็ดขาดผ่านการใช้กล้องได้เลยทีเดียว
สำหรับที่นั่งผู้โดยสารตอนหลังถือว่าค่อนข้างแคบ เหมาะกับ ผู้โดยสารคนที่ 3 และ 4 เท่านั้น หากมีผู้โดยสารคนที่ 5 พื้นที่ ด้านหลังจะเบียดมาก ในส่วนของ Leg-Room ก็ยังพอยืดขาได้บ้าง สำหรับคนที่สูง 175 ซม.ขึ้นไปจะเริ่มรู้สึกว่าหัวเข่าเริ่มชนเบาะหน้า Head-Room มีการเว้าพื้นที่ด้านบนไว้ทำให้เหลือพื้นที่ว่างระดับหนึ่ง สิ่งอำนวยความสะดวกมีแค่ช่องแอร์ตรงกลาง เห็นได้ชัดว่า เจ้า Ghibli Hybrid ไม่ได้เน้นผู้โดยสารตอนหลังมากนัก เพราะ คงดีเอ็นเอความเป็นรถสปอร์ตเอาไว้
อีกหนึ่งไฮไลต์ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือชุดเครื่องเสียง ตำแหน่ง ลำโพงทั้ง 8 ที่ ถูกออกแบบมาให้มีมิติเสียงที่ดีที่สุด ซึ่งมีมาให้ เลือกถึง 3 แบบด้วยกันได้แก่ Maserati Sound Audio ซึ่งเป็น เครื่องเสียงที่ติดมากับรถ แต่หากต้องการอัปเกรดเครื่องเสียงจะมี ให้เลือกระหว่างเครื่องเสียงจาก Harman Kardon และ Bowers & Wilkins โดยคันที่ทีมงานได้รีวิวติดตั้งเครื่องเสียงของ Harman Kardon บอกเลยว่า เสียงใส เบสทุ้มชัดเจน ได้อรรถรสเหมือนอยู่ ในคอนเสิร์ต ใครที่เน้นฟังเพลงตอนขับรถบอกเลยว่าฟินแน่นอน
นอกจากได้ลองสัมผัสรอบคันทั้งภายนอกภายในแล้ว ทีมงาน ยังได้นั่ง Ghibli Hybrid ออกถนนจริงอีกด้วย โดยช่วงล่างนั้น ยอมรับว่าเซ็ตมาดีมาก สามารถปรับความนุ่มได้ 2 โหมด คือ
1. โหมดปกติถูกเซ็ตมานุ่มกำลังดี ให้ความรู้สึกเนียนขณะขับขี่ และแม้ว่าจะเซ็ตช่วงล่างมานุ่ม แต่เมื่อเข้าโค้งแรงๆ กลับไม่มี อาการโยนให้เห็นเลย
2. โหมดสปอร์ต เป็นการปรับความนุ่มของ ช่วงล่างให้กระด้างขึ้น
แต่ไม่ถึงกับแข็งตึงตังจนเกินไป ทำให้ตัว รถสามารถยึดเกาะบนถนนได้ดีขึ้น
เหมาะสำหรับคนที่รักการขับขี่ แบบเร้าใจสไตล์สปอร์ต
ในส่วนของอัตราเร่ง แม้ว่า Ghibli Hybrid จะเป็นรถบอดี้ แบบซีดานทั่วไปอีกทั้งยังมีเครื่องยนต์แบบไฮบริด แต่บอกเลยว่า ได้ดีเอ็นเอความแรงของ Maserati มาเต็มๆ สามารถทำความเร็ว 0-100 กม/ชม. ได้เพียงแค่ 5.7 วินาทีเท่านั้น ซึ่งอัตราเร่งระดับนี้ คือซูเปอร์คาร์ดีๆ คันหนึ่ง ทำเอาทีมงานเสียวท้องกันไปหลายตลบ อีกทั้งเสียงเครื่องยนต์ ท่อไอเสีย ยังคงเอกลักษณ์เสียงคำราม อันดุดันไว้ได้อย่างครบถ้วน สะท้อนถึงความเป็นรถ High Performance อย่างชัดเจน ให้ประสบการณ์การขับขี่ที่หาได้ยากกว่าในรถทั่วไปแน่นอน
สาเหตุที่ Ghibli Hybrid สามารถทำPerformance ได้สูงระดับ
ซูเปอร์คาร์ Maserati
Thailand ได้อธิบายกับทีมงานว่า ระบบไฮบริด ของ Maserati นั้นถูกเรียกว่าไมลด์ไฮบริด
แตกต่างจากระบบไฮบริด ทั่วไป เพราะ Ghibli Hybrid ใช้แบตเตอรี่ในการเพิ่มประสิทธิภาพ
ให้เครื่องยนต์มีกำลังอัดที่มหาศาลแทน โดยแบตเตอรี่ไฟฟ้าขนาด 48 โวลต์
ทำงานคู่กับเครื่องยนต์ 4 สูบขนาด 2.0 ลิตร ใช้แบตเตอรี่ ปั่นไฟเข้า e-Booster ซึ่งเป็นอิเล็กทรอนิกส์ซูเปอร์ชาร์จเพิ่มกำลังอัด
ให้กับเครื่องยนต์ 4 สูบ สามารถทำแรงม้าได้สูงถึง 330 แรงม้า และมี แรงบิดที่ 450
นิวตัน/เมตร สามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 255 กม./ชม.
Ghibli Hybrid มีราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท สามารถเพิ่ม ออปชั่นได้ตามต้องการไม่ว่าจะเป็นเครื่องเสียง ช่วงล่างแบบอิสระ 4 ล้อ ชุดไฟหน้าแบบแมทริก LED หลังคาซันรูฟไฟฟ้า กล้องรอบคัน ระบบความปลอดภัยต่างๆ รวมถึงวัสดุภายใน สำหรับคนที่อยากได้ ออปชั่นแบบจัดเต็มจะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 8 ล้านบาท ถือเป็นหนึ่ง ในตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่อยากได้ประสบการณ์ซูเปอร์คาร์ ในราคาไม่ถึง 10 ล้าน