"ไทยประกันชีวิต" เผยผลประกอบการ 9 เดือนกำไรสุทธิกว่า 8,000 ล้านบาท เบี้ยประกันรับใหม่เพิ่ม 26%
ไทยประกันชีวิตเผยผลประกอบการ 9
เดือน ปี 2565 เบี้ยประกันรับใหม่เพิ่มขึ้น 26% VONB เพิ่มขึ้นถึง
29% ชี้ทุกช่องทางการขายเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ด้านกำไรสุทธิกว่า 8,000 ล้านบาท
ยันไม่กระทบจากประกันโควิดแบบเจอ-จ่าย-จบ
พร้อมเดินหน้าเป็นทุกคำตอบของการประกันชีวิต ประกันสุขภาพ
และวางแผนการเงินส่วนบุคคล ควบคู่การส่งมอบคุณค่าให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกส่วน
นายไชย ไชยวรรณ
กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI
เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี
2565 ว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ
ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยมีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบบคำนวณรายปี (Annual Premium
Equivalent : APE) อยู่ที่ 9,641
ล้านบาท เติบโต 26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564
และมีผลรวมกำไรที่คาดว่าจะได้รับตั้งแต่วันแรกถึงวันสิ้นสุดของกรมธรรม์ (Value
of New Business : VONB) 5,151 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29%
เมื่อเทียบกับช่วง 9 เดือนของปีก่อนหน้า ส่งผลให้ VONB
Margin หรือกำไรจาก VONB เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
อยู่ที่ 53.4% ทำให้บริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 14.1%
ช่องทางการขายทุกช่องทางของบริษัทฯ
มีการเติบโตที่แข็งแกร่ง ทั้งในด้าน APE และ VONB สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของช่องทางการการขายที่หลากหลาย
โดยช่องทางการขายผ่านตัวแทนฯ มี VONB คำนวณต่อปี เติบโตถึง 25%
เป็นผลจากประสิทธิภาพในการขยายตลาด การผลิตเบี้ยฯ และการรีครูทตัวแทนฯ ใหม่
ผ่านแคมเปญการตลาดที่หลากหลาย
“บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการ Upskill และ
Reskill ตัวแทนฯ โดยเฉพาะการเพิ่มทักษะด้านดิจิทัล
เพื่อให้เป็น Digital Agent ที่พร้อมเป็น Life Solutions
Partner ที่สามารถดูแลชีวิตและวางแผนทางการเงินให้กับลูกค้าได้ในทุกช่วงชีวิต
ทุกจังหวะชีวิต และทุกการใช้ชีวิต
รวมถึงตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้แบบเฉพาะบุคคลด้วยความรวดเร็ว โดยบริษัทฯ
พัฒนาแอปพลิเคชันที่ช่วยในการทำงาน เช่น TL Pro Plus ที่ช่วยให้ตัวแทนฯ
สามารถนำเสนอขาย รับชำระเบี้ยประกันภัย และนำส่งเคสเข้าบริษัทฯ
ได้อย่างสะดวกผ่านมือถือ หรือแท็ปเล็ต" นายไชยกล่าว
ทางด้านช่องทางพันธมิตรมีการเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยมี VONB เติบโตสูงถึง 41%
เป็นผลจากการฟื้นตัวภายหลังสถานการณ์โควิด-19
และความสำเร็จจากการกำหนดกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ร่วมกับพันธมิตร
สำหรับกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ บริษัทฯ
ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สร้างกำไรในระยะยาว
และมีความอ่อนไหวน้อยต่ออัตราดอกเบี้ย เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนร่วมในเงินปันผล
หรือ Participating Product, ผลิตภัณฑ์ควบการลงทุน
และสัญญาเพิ่มเติม ซึ่งกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์นี้จะผลักดันให้บริษัทฯ
มีกำไรอย่างยั่งยืน ท่ามกลางความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจ
นายไชยกล่าวว่า
ไทยประกันชีวิตยังคงมีอัตรากำไรสุทธิต่อเนื่อง โดยช่วง 9
เดือนของปี 2565 มีกำไรสุทธิ 8,020
ล้านบาท
อย่างไรก็ดีกำไรสุทธิที่ลดลงเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นอย่างมากของเบี้ยประกันภัยรับใหม่
ซึ่งธุรกิจประกันชีวิตจะมีผลขาดทุนจากการรับประกันภัยในปีแรก
เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าเบี้ยประกันรับปีแรก แต่จะเริ่มมีกำไรจากการรับประกันที่แข็งแกร่งในปีถัด
ๆ ไป เห็นได้จาก VONB Margin ที่เติบโตอย่างมากของบริษัทฯ
นอกจากนี้บริษัทฯ ไม่มีการขายประกันภัยโควิด-19
แบบเจอ จ่าย จบ
ซึ่งอัตราการเคลมสินไหมสุขภาพที่เพิ่มขึ้นมาจากสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพ
ที่ให้ความคุ้มครองกรณีรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลด้วยโรคโควิด-19
อย่างไรก็ดีอัตราการเคลมสินไหมสุขภาพจากโควิด-19
ของบริษัทฯ เริ่มลดลงจากจุดสูงสุดในเดือนมีนาคมปี 2565
“อัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน หรือ CAR
Ratio ของบริษัทฯ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 อยู่ที่
358% สูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักงาน คปภ.กำหนดอยู่ที่ 140%
ซึ่งเราให้ความสำคัญกับสถานะเงินทุนที่แข็งแกร่งอันเป็นรากฐานของการเติบโตอย่างยั่งยืน
และแม้ว่าตั้งแต่ต้นปี 2565 เศรษฐกิจโลกจะมีความผันผวนพร้อมกับความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น
แต่ไทยประกันชีวิตยังสามารถรักษาการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่และสถานะทางการเงินไว้ได้
เนื่องจากเรามีผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์การเติบโตที่ชัดเจน
มีทีมผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์และประสบการณ์ ภายใต้เจตนารมณ์ทางธุรกิจ หรือ Business
Purpose ที่จะเป็นทุกคำตอบของการประกันชีวิต
การประกันสุขภาพ และการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล หรือ Life Solutions
Provider แก่ลูกค้า
รวมถึงการสร้างและส่งมอบคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด” นายไชยกล่าว