Special Interview : อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
Powering Life with Future Energy and
Beyond
ขับเคลื่อนทุกชีวิต ด้วยพลังแห่งอนาคต
“เราต้องการก้าวออกไปนอกอุตสาหกรรมพลังงาน โดยธุรกิจใหม่ของ ปตท. นั้นจะสร้างขึ้นบนพื้นฐานของการเป็นตัวสนับสนุน New S-Curve ของประเทศ เช่น การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ ศูนย์กลางด้านการขนส่ง รวมถึงการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล AI และ Robotic สิ่งเหล่านี้จะถูกนำมารวมอยู่ในกลยุทธ์การเติบโตของ ปตท. เพื่อให้มีส่วนในการสนับสนุนการสร้าง New S-Curve และเราจะลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อมั่นใจว่าจะสามารถสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประเทศไทยได้”
การระบาดของไวรัส
COVID-19 ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลกับหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก
โดยเฉพาะธุรกิจพลังงานที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากมาตรการล็อกดาวน์ในหลายประเทศ
การขนส่งและการเดินทางทั่วโลกหยุดชะงัก ราคาน้ำมันดิบตกต่ำลงถึง 23
ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงต้นปี 2563 ก่อนจะทยอยฟื้นกลับขึ้นมาในช่วงกลางปี
หลังจากสถานการณ์การระบาดในหลายประเทศบรรเทาลงจากการเร่งฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่อง
สถานการณ์เหล่านี้ได้กลายเป็นตัวแปรสำคัญในโลกธุรกิจ
เกิดพฤติกรรมการใช้ชีวิตในแบบวิถีใหม่ที่ผู้คนถาโถมเข้าสู่โลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว
จนภาพแห่งอนาคตขยับเข้ามาใกล้ผู้คนเร็วขึ้นราว 5 ปี
ความเปลี่ยนแปลงนี้ได้กลายเป็นบททดสอบที่ 2 ต่อจากการระบาดของ COVID-19 ที่จะทำให้เกิดการปรับตัวครั้งสำคัญของทุกอุตสาหกรรมบนโลกนี้
การเงินธนาคาร
ได้สัมภาษณ์พิเศษ อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ถึงการปรับตัวครั้งสำคัญที่จะพลิกโฉมองค์กรอย่าง ปตท.
ให้พร้อมสำหรับโลกอนาคตอย่างเต็มตัว ด้วยวิสัยทัศน์สำคัญ Powering
Life with Future Energy and Beyond ขับเคลื่อนทุกชีวิต
ด้วยพลังแห่งอนาคต พร้อมกับกลยุทธ์ที่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มุ่งทลายกำแพงในธุรกิจพลังงานเดิม
เพื่อขับเคลื่อน ปตท. ให้ก้าวไปสู่การสร้าง S-Curve ใหม่ให้แก่ประเทศไทย
ราคาน้ำมันฟื้น
หลัง COVID-19 คลาย
หนุนผลประกอบการเข้าสู่ภาวะปกติ
อรรถพล
เริ่มให้สัมภาษณ์พิเศษกับ การเงินธนาคารว่า ในช่วง 2
ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมพลังงานได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส COVID-19 อย่างมาก ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของโลกลดลงต่อเนื่อง
โดยในปี 2563 ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกลดลง 9%
ด้านราคาน้ำมันดิบดูไบก็ปรับตัวลงถึง 34% ขยับราคาลงมาอยู่ที่ 42.2
ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จาก 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปี 2562
โดยปัจจัยสำคัญมาจากการระบาดของ COVID-19
และสงครามราคาน้ำมัน
ส่วนภาพรวมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในปี
2564 ถือว่าอยู่ในช่วงฟื้นตัว โดยมีทิศทางที่ดีขึ้น
มีการประมาณการอัตราการใช้น้ำมันของโลกที่ 97.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ส่งผลให้ในปีนี้ราคาน้ำมันดิบดูไบดีดกลับขึ้นมาที่ 67 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19
เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดี จนเกิดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในหลายประเทศ
และมีแนวโน้มว่าจะกลับไปยืนในราคาเดิมก่อนการระบาด
ในส่วนของประเทศไทย
สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่ระลอก 1
จนถึงระลอก 3 ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติในประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะน้ำมันอากาศยานซึ่งลดลงถึง 51% จากมาตรการจำกัดการเดินทางของรัฐบาล
ขณะที่น้ำมันเบนซินลดลง 6% น้ำมันดีเซลลดลง 2% ส่วนก๊าซธรรมชาติลดลง 8% แต่ในปี
2564 เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย
โดยความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 5% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564
จากความต้องการใช้ของภาคอุตสาหกรรมไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรม
“แนวโน้มของประเทศไทยก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ความต้องการใช้น้ำมันปี 2563 มีการปรับตัวลดลง 8-10% แต่ปัจจุบันราคาขยับขึ้น 4-5%
แม้ยังไม่ถึงจุดปกติแต่ก็ถือว่าดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา
ซึ่งต้องดูในระยะต่อไปว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะยืดเยื้อออกไปอีกหรือไม่
โดยที่ผ่านมา ปตท. มีการใช้กลยุทธ์ 4R เพื่อรับมือผลกระทบจาก
COVID-19 อย่างใกล้ชิด และยังเตรียมพร้อมสำหรับการเดินหน้าธุรกิจทันทีที่สถานการณ์คลี่คลาย
รวมถึงวางแผนระยะยาวเพื่อให้สามารถปรับตัวรับกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างทันท่วงที”
อรรถพล
ฉายภาพกว้างของโลกพลังงานว่า การใช้น้ำมันของโลกเติบโตในอัตราชะลอตัว
ซึ่งนักวิเคราะห์หลายสำนักคาดการณ์ว่า จุดการผลิตน้ำมันดิบสูงสุด หรือ Peak
Oil จะขยับเข้ามาเร็วขึ้น โดยอาจเกิดขึ้นในปี 2568
จากที่เคยประเมินว่าจะเกิดขึ้นในปี 2573-2578 ขณะที่นักวิเคราะห์บางสำนักมองว่า Peak
Oil ได้เกิดขึ้นไปแล้วในปี 2562 ก่อนการแพร่ระบาดของ COVID-19
ขณะเดียวกัน
โลกได้มุ่งไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพลังงานใหม่ (Energy
Transition) ความต้องการใช้พลังงานหมุนเวียนจะมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างมาก
โดยก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นพลังงานฟอสซิลที่สะอาดที่สุด จะมีบทบาทสำคัญในการเป็น Transition
Fuel อีกทั้งจากข้อตกลง Paris Agreement หลายประเทศยังมีการกำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์
(Net Zero Carbon) ไว้ที่ปี 2593
ขณะที่ประเทศไทยวางเป้าหมายเบื้องต้นไว้ที่ปี 2608-2613
ด้านบริษัทพลังงานหลายแห่งในต่างประเทศก็กำหนดเป้าหมาย Net Zero Carbon ไว้ที่ปี 2573-2593 และยังเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาดมากขึ้นด้วย
สถานการณ์นี้สะท้อนภาพของแนวโน้มการใช้พลังงานในอนาคตได้อย่างชัดเจน
“ปตท.
มองว่า แนวโน้มพลังงานในอนาคต จะมุ่งสู่ 2 แนวโน้มสำคัญคือ Go
Green และ Go Electric ซึ่ง Go Green คือการที่โลกกำลังเดินหน้าไปสู่การใช้พลังงานสะอาดเพื่อป้องกันสภาวะโลกร้อน
ขณะที่ Go Electric เป็นการบ่งชี้ว่าพลังงานไฟฟ้าจะเป็นรูปแบบการใช้พลังงานที่สำคัญในอนาคต”
อรรถพล
กล่าวว่า ด้านผลประกอบการในครึ่งแรกของปี 2564 ปตท. สามารถสร้างกำไรได้ 57,000
ล้านบาท ซึ่งฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 จนในปี 2563 ผลกำไรลดลงเหลือเพียง 37,000 ล้านบาท
ขณะที่ก่อนการระบาดในปี 2562 ปตท. มีผลกำไรราว 93,000 ล้านบาท
ซึ่งหากดูผลประกอบการ 3 ปีย้อนหลัง จะเห็นว่าผลประกอบการของ ปตท.
กำลังกลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากสถานการณ์แพร่ระบาดเริ่มคลี่คลาย
“การฟื้นตัวที่รวดเร็วของเราเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากองค์ประกอบหลายด้าน
ทั้งความต้องการใช้น้ำมันที่ฟื้นตัว ราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น
และที่สำคัญคือหน่วยการผลิตของ ปตท. ที่มุ่งเน้นเรื่องประสิทธิภาพการผลิต
เห็นได้จากในช่วงของการระบาด ปตท. ไม่มีการปิดโรงงาน ทำให้สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่
และเมื่อความต้องการใช้น้ำมันกลับมา โดยเฉพาะความต้องการใช้ของโลก
เราก็สามารถสร้างผลงานเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้เข้าสู่ภาวะปกติได้ทันที”
เปิดวิสัยทัศน์ใหม่ ลุยพลังงานอนาคต
Powering Life with Future Energy and
Beyond
อรรถพล
กล่าวว่า จากผลกระทบของการแพร่ระบาดของ COVID-19
และแนวโน้มอุตสาหกรรมพลังงานโลกที่มุ่งสู่ 2 แนวโน้มสำคัญคือ Go Green และ Go Electric ปตท.
จึงทบทวนกลยุทธ์และปรับวิสัยทัศน์องค์กรเพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มภาคพลังงาน
เทคโนโลยี และสังคมที่เปลี่ยนไป โดยวิสัยทัศน์ใหม่ของ ปตท. คือ “Powering
Life with Future Energy and Beyond : ขับเคลื่อนทุกชีวิต
ด้วยพลังแห่งอนาคต” โดยวิสัยทัศน์ใหม่นี้จะสะท้อนถึงทิศทางกลยุทธ์และการเติบโตของ
ปตท. ที่ต้องการเป็นองค์กรที่พร้อมขับเคลื่อนทุกชีวิต ไม่ว่าจะเป็นผู้คน ชุมชน
สังคม ประเทศไทย รวมถึงสังคมโลก ด้วยพลังงานแห่งอนาคต ทั้งพลังงานไฟฟ้า
พลังงานทดแทน
Powering
Life เป็นจุดมุ่งหมายขององค์กร
“ดำเนินธุรกิจเพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนทุกชีวิต” โดย Life ในบริบทนี้หมายถึง
ชีวิตผู้คน ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีแนวทางของการดำเนินงาน 3 ด้าน คือ
1. Growth Along the Way
of Life : สร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนและมีธรรมาภิบาล
ลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม
รวมถึงการสร้างรูปแบบธุรกิจผ่านโมเดลพันธมิตรและการสร้างแพลตฟอร์ม
เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม
2. Positive Contribution
to Society : การสร้างคุณค่าทางสังคมให้เกิดคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของสังคม
ชุมชน ผ่านการดำเนินงานของ ปตท.
3. Low Carbon Society : พัฒนาธุรกิจสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
With
Future Energy and Beyond เป็นทิศทางการเติบโตที่มุ่งสู่ธุรกิจพลังงานแห่งอนาคต
และมุ่งเติบโตในธุรกิจใหม่ที่ไม่ถูกจำกัดแค่ในอุตสาหกรรมพลังงาน โดยใน Future
Energy นั้นจะประกอบด้วยพลังงานทดแทน (Renewable) แบตเตอรี่ (Energy Storage) และโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า
(EV Chain) รวมถึงการศึกษาโอกาสในพลังงานประเภท Hydrogen
ควบคู่ไปด้วย
สำหรับ
Beyond
ปัจจุบัน ปตท. มุ่งเน้นไปที่ 5 กลุ่มธุรกิจ คือ 1. Life
Science ประกอบด้วย Pharma, Nutrition & Medical Device 2. Mobility & Lifestyle 3. High Value
Business 4. Logistics & Infrastructure 5.
AI, Robotic & Digitalization ควบคู่ไปกับการมองหาโอกาสในธุรกิจใหม่ที่ให้ผลตอบแทนสูง
และมีแนวโน้มเติบโต หรือมีศักยภาพในการแข่งขัน
“เราต้องการก้าวออกไปนอกอุตสาหกรรมพลังงาน
โดยธุรกิจใหม่ของ ปตท. นั้นจะสร้างขึ้นบนพื้นฐานการเป็นตัวสนับสนุน New
S-Curve ของประเทศ เช่น การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์
ศูนย์กลางด้านการขนส่ง รวมถึงการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล AI และ Robotic สิ่งเหล่านี้จะถูกนำมารวมอยู่ในกลยุทธ์การเติบโตของ
ปตท.
และเราจะลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อมั่นใจว่าจะสามารถสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทยได้”
อรรถพล กล่าวว่า
ในการขับเคลื่อนองค์กรให้เดินหน้าตามวิสัยทัศน์ใหม่ ปตท. จะใช้กลยุทธ์ PTT
by PTT หรือ Powering Thailand’s Transformation by
Partnership and Platform, Technology for All, Transparency and Sustainability
โดย Partnership and
Platform คือการเน้นการดำเนินธุรกิจด้วยการสร้างพันธมิตรและพัฒนาธุรกิจของ
ปตท. ให้มีลักษณะเป็นแพลตฟอร์มมากกว่าเป็นแค่ผู้ผลิตและจำหน่าย
โดยจะมุ่งสร้างให้เกิด New Business Model และ New
Ecosystem
Technology for All คือ
เทคโนโลยีที่เกิดจากการ Know-How นวัตกรรมและดิจิทัล
จากทั้งภายในและภายนอกองค์กร
โดยจะใช้เทคโนโลยีในทุกมิติเพื่อสร้างรูปแบบธุรกิจใหม่
และใช้การบริหารจัดการองค์กร รวมทั้งขับเคลื่อนสู่ภายนอก
สร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อสังคม
Transparency
and Sustainability สร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจ
เน้นให้พนักงานผู้ปฏิบัติมีความเข้าใจ เรื่องระเบียบข้อบังคับต่างๆ (GRC) พร้อมกับพัฒนาการดำเนินธุรกิจให้เกิดความยั่งยืนทั้งมิติทางเศรษฐกิจ สังคม
สิ่งแวดล้อม
“ผมอยากให้กลุ่ม ปตท. เป็นองค์กรด้านพลังงานของประเทศไทย
ขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลง
ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่ทุกภาคส่วน
มุ่งยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ช่วยพัฒนาสังคม
และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย”
โฟกัส
6 กลุ่มธุรกิจ
มุ่งสร้าง
New
S-Curve ให้ประเทศไทย
อรรถพล กล่าวว่า ปตท.
มีการปรับตัวในเรื่องของพอร์ตการลงทุน เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง
และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับธุรกิจปัจจุบันและธุรกิจใหม่
มีวัตถุประสงค์ที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทย และผลักดันให้เกิด New
S-Curve กับประเทศ นอกจากธุรกิจหลักของ ปตท. แล้ว ด้วยวิสัยทัศน์ใหม่และกลยุทธ์
PTT by PTT ปตท. จะมุ่งเน้นใน 6 ประเภทธุรกิจใหม่
ซึ่งอยู่ในส่วน Future Energy and Beyond โดยมีรายละเอียดและความคืบหน้า
ดังนี้
1. ธุรกิจ New Energy
- LNG ครบวงจร
: ตั้งเป้าสร้างประเทศไทยให้เป็น Regional LNG Hub มุ่งลงทุนด้าน
Facility ที่เกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติ เช่น
จากเดิมใช้ก๊าซผ่านทางท่อส่งก๊าซ
แต่ปัจจุบันสามารถทำให้ก๊าซอยู่ในรูปของเหลวและใช้ขนส่งผ่านเรือ
สามารถนำเข้ามาจากทั่วโลกได้ ซึ่ง ปตท.
มีการลงทุนสร้างท่าเรือเฉพาะในการรับการขนส่ง LNG จากทั่วโลก
เพื่อนำเข้ามาใช้ในระบบของประเทศ และยังเป็นศูนย์กลางในการซื้อ-ขาย LNG ด้วย โดย ปตท. ตั้งเป้าการลงทุนใน LNG เป็น 9
ล้านตันต่อปี ภายในปี 2573
- Renewables : ลงทุน 90% ในโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในไต้หวัน 55.8 เมกะวัตต์
ผ่านบริษัท โกลบอล รีนิวเอเบิล เพาเวอร์ จำกัด นอกจากนี้ ซื้อหุ้น 25% โรงไฟฟ้าพลังงานลมในไต้หวัน
595 เมกะวัตต์ และซื้อหุ้นเพิ่มทุน 41.6% บริษัทพลังงานหมุนเวียนในอินเดีย 4,560
เมกะวัตต์ ผ่านบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) โดย ปตท. ตั้งเป้าว่าจะมีการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนต่อเนื่อง
และจะรวมกำลังการผลิตให้ได้ 12,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2573
จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนอยู่ราว 2,000 เมกะวัตต์
- Energy Storage : GPSC ได้เปิดตัวโรงงานแบตเตอรี่ Semi Solid แห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เริ่มต้นที่ 30 เมกะวัตต์ชั่วโมง และยังร่วมกับบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก
จำกัด (มหาชน) (OR) เปิดตัว G-Box นำร่องในสถานีบริการน้ำมัน
PTT Station สาขาหนองแขม รองรับ EV Station
- Energy Platform : เปิดตัวแพลตฟอร์ม ReACC ซึ่งเป็นธุรกิจให้บริการซื้อ-ขายใบรับรองพลังงานหมุนเวียน
และยังได้ร่วมมือกับบริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน)
และบริษัท เซอร์ทิส จำกัด (SERTIS) พัฒนาระบบ Smart
Energy Platform รองรับการซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์
ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ โดยใช้เทคโนโลยี Blockchain ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยในการทำธุรกรรมและอำนวยความสะดวกการซื้อขายพลังงานระหว่างผู้ผลิตไฟฟ้ารายย่อยกับผู้ใช้พลังงาน
- EV Value Chain : จัดตั้งบริษัทใหม่ชื่อว่า “อรุณ พลัส” (ARUN PLUS) เพื่อทำธุรกิจรถไฟฟ้าครบวงจร
และตั้งบริษัท อีวี มี พลัส จำกัด (EVME PLUS) เพื่อให้บริการ
Digital Platform สำหรับธุรกิจ EV นอกจากนี้ยังร่วมกับบริษัทฟ็อกซ์คอนน์
(Foxconn) ซึ่งเป็นบริษัทที่มีองค์ความรู้ในการสร้างโรงงานผลิตรถไฟฟ้า
ตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อทำการศึกษาและเตรียมแผนตั้งโรงงานผลิตรถไฟฟ้าในประเทศไทย
ด้วยคอนเซปท์แบบ BOL หรือ Build Operate Localize โดยใช้แพลต์ฟอร์มของฟ็อกซ์คอนน์ MIH Platform ซึ่งจะสามารถลดระยะเวลาในการพัฒนารถไฟฟ้าจาก
4 ปี เหลือ 2 ปี และยังช่วยลดต้นทุนการผลิตรถไฟฟ้าลงได้ถึง 200,000 บาทต่อคัน
โดยบริษัทร่วมทุนนี้ อรุณ พลัส
จะถือหุ้นในสัดส่วน 60% ส่วนฟ็อกคอนน์ถือหุ้น 40% ใช้เงินลงทุนระยะแรก 1-2
พันล้านดอลลาร์ คาดว่าจะใช้เวลาในการสร้างราว 1-2 ปี กำลังผลิต 30,000 คันต่อปี
และจะเพิ่มเป็น 150,000 คันภายในปี 2573
2. ธุรกิจ Life Science
-
จัดตั้งบริษัทอินโนบิก (เอเซีย) จำกัด และเข้าไปลงทุนในธุรกิจ Life
Science เช่น การเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มทุน 6.66% จากบริษัทยา Lotus
Pharmaceutical ในประเทศไต้หวัน รวมถึงการร่วมมือกับ
องค์การเภสัชกรรม และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
เพื่อวิจัยและพัฒนาวัตถุดิบทางยา เช่น ยาต้านไวรัส COVID-19
ฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งอยู่ระหว่างการต่อยอดเป็นเชิงพาณิชย์
- Nutrition : ปตท. ร่วมทุนในสัดส่วน 50:50 กับบริษัท โนฟ ฟู้ดส์ จำกัด
เพื่อดำเนินธุรกิจ Plant-Based Protein ตั้งโรงงานผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช
เพิ่มทางเลือกอาหารเพื่อสุขภาพซึ่งกำลังมีแนวโน้มเติบโตสูงในขณะนี้
- Medical Device and
Medical Tech : ปตท. ได้ร่วมทุนกับบริษัทในกลุ่มอย่างบริษัท
ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ตั้งบริษัท อินโนโพลีเมด จำกัด
สร้างโรงงานผลิตผ้าไม่ถักทอ (Non-Woven Fabric) สำหรับหน้ากากอนามัย
3. ธุรกิจ Mobility &
Lifestyle
- OR จะเป็นกำลังสำคัญในการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
ทั้งในและนอกสถานีบริการน้ำมัน PTT Station รวมถึงการขยายธุรกิจค้าปลีกให้มากขึ้น
พร้อมกับการเสริมสร้างธุรกิจ Lifestyle อย่างต่อเนื่อง เช่น
การลงทุน 65% ในบริษัท พีเบอร์รี่ ไทย จำกัด พร้อมทั้งลงทุน 20%
ในร้านสลัดชื่อดังโอ้กะจู๋
4.
ธุรกิจ High
Value Business
-
มุ่งเน้นด้านการต่อยอดธุรกิจปิโตรเคมีให้มีคุณสมบัติพิเศษ (Specialty)
เพื่อผลิตเม็ดพลาสติกที่มีคุณสมบัติพิเศษ
และใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในการผลิต โดยบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC)
ได้เข้าซื้อกิจการ Allnex เพื่อต่อยอดธุรกิจ Coating
Resins เพื่อเตรียมขยายตลาดทั้งในภูมิภาคยุโรปและเอเชียแปซิฟิก
5.
ธุรกิจ Logistics
& Infrastructure
-
มุ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐานด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย
เช่น การขนส่งทางบก
ท่าเรือและระบบขนส่งทางรางซึ่งเป็นพื้นฐานในการพัฒนาประเทศที่สำคัญ โดย ปตท.
อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือมาบตาพุดระยะที่ 3
โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 นอกจากนี้ บริษัท เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์
จำกัด (EnCo)
ยังได้ซื้ออาคารศูนย์ฝึกอบรมการบินไทย
เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ
6.
ธุรกิจ AI
& Robotic, Digitalization
- บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม
จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) จัดตั้งบริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด (ARV)
โดยร่วมมือกับพันธมิตร พัฒนาโดรนในแอปพลิเคชั่นต่างๆ
เพื่อตรวจโครงสร้างสิ่งปลูกสร้าง วิศวกรรมทางทะเล รวมถึงการใช้ใน Smart
Farming
- ร่วมทุนกับบริษัท Mitsui
ในการตั้งบริษัท พีทีที เรส จำกัด เพื่อให้บริการ One Stop
Service ด้านดิจิทัลสำหรับลูกค้าในภาคอุตสาหกรรม
- ร่วมมือกับ Microsoft
จัดตั้งบริษัท เมฆาเทคโนโลยี จำกัด เพื่อให้บริการ Cloud
Service ครอบคลุมทั้งการให้บริการด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีและโซลูชั่น
- ร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรม
การนิคมอุตสาหกรรม BOI และสถาบันการเงิน
ตั้งบริษัท T-ECOSYS ดำเนินธุรกิจ Digital Platform ด้านอุตสาหกรรม
“ทั้ง 6 ธุรกิจนี้จะเป็นสิ่งที่ ปตท.
มุ่งเน้นจากนี้ไป ภาพการก้าวข้ามกำแพงเพื่อขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ
ที่นอกเหนือจากธุรกิจพลังงานจะเริ่มชัดเจนมากขึ้น
เราตั้งเป้าว่าการลงทุนต่อจากนี้จนถึงปี 2573 พอร์ตการลงทุนจะเน้นไปที่ Future
Energy และ Beyond โดยคิดเป็นสัดส่วนราว 30%
และในปี 2573 คาดว่าผลกำไรที่มาจากธุรกิจ Future Energy และ Beyond
จะมีสัดส่วน 30% จากผลกำไรรวมของ ปตท.”
พร้อมยืนหยัดเพื่อสังคม
สิ่งแวดล้อม
ร่วมเป็นแรงขับเคลื่อนยุค
COVID-19
อรรถพล กล่าวว่า กลุ่ม ปตท.
ให้ความสำคัญกับการดูแลชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมเท่าๆ
กับการทำธุรกิจจะเห็นว่าวิสัยทัศน์ใหม่ของ ปตท. ยังคงตระหนักถึงเรื่อง Powering
Life ที่มุ่งเน้นผู้คน ชุมชน สังคม เพราะ ปตท.
ต้องการตั้งอยู่เพื่อเป็นกำลังขับเคลื่อนให้กับทุกชีวิต จึงถือเป็นภาระหน้าที่ของ
ปตท. ที่จะต้องดูแลสังคม ชุมชน ให้ดีที่สุด
ที่ผ่านมา ปตท.
มีโปรแกรมดูแลสังคมชุมชมที่ดำเนินการมาโดยตลอด มีโครงการใหญ่ เช่น การปลูกป่า 1
ล้านไร่ ที่ใช้ระยะเวลาถึง 8 ปี ในการดำเนินการ
หรือการเข้าไปดูแลชุมชนด้วยการน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาสร้างเป็นโครงการ 84
ตำบลวิถีพอเพียง
ช่วยให้ชุมชนสามารถเรียนรู้และสามารถจัดการระบบพัฒนาด้านพลังงานชุมชน
และพัฒนาพื้นที่ของตัวเอง และ ปตท. จะทำหน้าที่เสริมส่วนที่ขาด ผลักดันให้ตำบลเหล่านั้นสามารถเดินต่อไปได้ด้วยตัวเอง
“นับตั้งแต่มีการระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่ปี 2562 กลุ่ม ปตท. ได้จัดหาอุปกรณ์ที่จำเป็นเร่งด่วน เช่น
แอลกอฮอล์ หน้ากากอนามัย โดย ปตท. ได้บริจาคแอลกอฮอล์มากกว่า 1
ล้านลิตรให้กับโรงพยาบาลกว่า 5,000 แห่งรวมถึงการสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาล
การพัฒนาห้องความดันลบ และชุดป้องกันที่ทำมาจากวัสดุปิโตรเคมี
และในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 ที่ประเทศไทยไม่มีผู้ติดเชื้อ COVID-19 และรัฐบาลต้องการกระตุ้นประเทศ ปตท. จึงมีโครงการ Restart
Thailand ที่จ้างงานได้ราว 25,000 อัตรา”
ปตท.
ยังตั้งโครงการ “ลมหายใจเดียวกัน” เพื่อเร่งจัดหาเครื่องช่วยหายใจกว่า 400 เครื่อง
และออกซิเจนเหลว แก่หน่วยงานรัฐและโรงพยาบาลกว่า 300 แห่ง สนับสนุนโรงพยาบาลสนาม 7
แห่ง สนับสนุนหน่วยบริการวัคซีนเคลื่อนที่ของ กทม. 4 แห่ง
อีกทั้งยังจัดตั้งหน่วยคัดกรองและโรงพยาบาลสนามครบวงจร (End-to-End)
ที่ให้บริการตรวจไปกว่า 48,000 ราย
องค์กรยักษ์ใหญ่อย่าง ปตท.
ไม่เพียงแต่พยายามจะปรับตัวให้ทันต่อโลกที่ก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น
แต่พร้อมเป็นพลังขับเคลื่อนสังคมไทยให้ก้าวไกลด้วยกันอย่างยั่งยืน
ติดตามคอลัมน์ Special Interview ได้ในวารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2564 ฉบับที่ 475
ในรูปแบบดิจิทัล : https://goo.gl/U6OnIi
รวมช่องทางการสั่งซื้อวารสารการเงินธนาคาร ทั้งฉบับปัจจุบันและฉบับย้อนหลัง ครบจบที่นี้ที่เดียว : https://bit.ly/3bQdHgt