CEO Talk : สมศักดิ์ เพ็ชรทวีพรเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด
สมศักดิ์ เพ็ชรทวีพรเดช
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด
ขึ้นแท่น One stop shop IT Services
ผนึก HPE ลุย Data Transformation
“เป้าหมายของเราคือการเป็น One-Stop-Shop IT Servicesเราจึงลงทุนทั้งด้านบุคลากร มีการเพิ่มความรู้จากเจ้าของแบรนด์สินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทีมงานมีองค์ความรู้เชิงลึกของแต่ละแบรนด์พร้อมให้บริการแก่ลูกค้าและองค์กรธุรกิจทุกระดับได้อย่าง ครอบคลุมในทุกโซลูชั่น”
Digital Transformation เป็นสิ่งที่องค์กรธุรกิจให้ความสำคัญมาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา หลายบริษัทมุ่งเปลี่ยนแปลงองค์กรโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเป็นเครื่องมือเพิ่ม Productivity
ให้สูงขึ้น สามารถปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลง
ในปัจจุบันได้อย่างทันท่วงที ขณะที่สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ก็ยิ่งตอกย้ำให้
ทุกองค์กรเห็นถึงความสำคัญของการทำ Digital Transformation อย่างชัดเจนว่า ใครที่แตกต่างและปรับตัวได้เร็วก็จะมีโอกาสเป็นผู้ชนะสูง
การเงินธนาคาร ได้สัมภาษณ์พิเศษ สมศักดิ์
เพ็ชรทวีพรเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด
ถึงภาพรวมธุรกิจ IT Distributor ยุทธศาสตร์และเป้าหมายทางธุรกิจ การเดินหน้าโปรเจ็กต์ Data Transformation เพื่อเปลี่ยนแปลงรูปแบบ
การทำงาน และการผนึกกำลังกับ HPE เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่คิดค่าใช้จ่ายแบบ
Pay-Per-Use สนับสนุนการเติบโตในอนาคต
วางโพสิชั่นเป็น Value-Added Distributor
ก้าวสู่การเป็น One-Stop-Shop IT Services
สมศักดิ์ เริ่มให้สัมภาษณ์พิเศษด้วยการ
ฉายภาพธุรกิจว่า บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) (เดิมชื่อ บริษัท เดอะแวลลูซิสเตมส์ จำกัด) เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าด้านไอทีแบบค้าส่งรายแรกๆ ของประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อ
ปีพ.ศ.2531 ปัจจุบันเป็นบริษัทในเครือของ
วีเอสที อีซีเอส กรุ๊ป ประเทศฮ่องกง ผู้จัดจำหน่ายสินค้าไอทีในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก มีช่องทาง
การจัดจำหน่ายกว่า 48,000 ราย กระจายอยู่ในประเทศจีน, ไทย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, กัมพูชา, เมียนมา และลาว
โดย วีเอสที อีซีเอส ดำเนินธุรกิจเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าด้านไอที ครอบคลุม 3 กลุ่มหลักคือ 1. Consumer 2. Commercial 3. Enterprise Solution ภายใต้แบรนด์ไอทีชั้นนำระดับโลก
กว่า 50 แบรนด์ นอกจากนี้ ยังมีการสร้างทีม
ที่ปรึกษา ทีมสนับสนุนการติดตั้งระบบ (Implement) และทีมให้บริการด้านไอทีสำหรับองค์กรธุรกิจ พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี Cloud ที่พร้อมดูแลอย่างเต็มระบบ
ด้านสัดส่วนรายได้ของ วีเอสที อีซีเอส
นั้น ธุรกิจ Consumer และ Commercial เป็น
2 แกนหลักที่มีสัดส่วนรายได้มากที่สุด ราว
40%Enterprise Solution 30% และบริการ
ด้านไอทีอีก 30%
“เราไม่อยากเป็นแค่ผู้จัดจำหน่าย ทำหน้าที่ขายส่งทั่วไป แต่ต้องการพัฒนาตนเองให้อยู่ใน
โพสิชั่นแบบ Value-Added Distributor แน่นอนว่า หาก Reseller มีประสบการณ์ก็สามารถทำเองได้ แต่หากไม่มี เรามีทีมงานพร้อมช่วยเหลือเต็มที่ เพราะเราต้องการรองรับความต้องการของ Reseller ให้ได้ทุกมิติ”
สมศักดิ์กล่าวว่า ความท้าทายของธุรกิจ IT Distributor ในเวลานี้คือ การเตรียมความพร้อม เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศไทย และจะต้องสามารถกระจายสินค้าไปยัง Reseller ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งการที่ วีเอสที อีซีเอส ดูแลสินค้ามากถึง 50 แบรนด์ และส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ระดับโลก จึงต้องมีการเตรียมพร้อมทั้งทางด้านบุคลากร จัดการสินค้าให้เพียงพอ และยังต้องมีระบบ Finance ที่รองรับหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขาด
ซื้อครั้งเดียว การเช่าใช้ หรือการจ่าย
แบบผ่อนชำระ เพื่อให้ Reseller มีความคล่องตัวในการทำธุรกิจมากที่สุด
“เป้าหมายของเราคือ การเป็น One-Stop-Shop IT Services เราจึงลงทุน
ทั้งด้านบุคลากร มีการเพิ่มความรู้
จากเจ้าของแบรนด์สินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทีมงานมีองค์ความรู้เชิงลึก
ของแต่ละแบรนด์พร้อมให้บริการแก่ลูกค้าและองค์กรธุรกิจทุกระดับได้อย่างครอบคลุมในทุกโซลูชั่น ตั้งแต่การรวบรวมความต้องการของผู้ใช้งาน การเขียนโครงการ Sizing & Architect design จนถึงการส่งมอบงานและปิดโครงการ นั่นจึงทำให้ วีเอสที อีซีเอส มีความแตกต่างจาก IT Distributor รายอื่น และยังเป็น
การเตรียมพร้อมขยายความสำเร็จออกไปสู่สำนักงานสาขาในประเทศกลุ่ม CLM
ในอนาคตด้วย”
นอกจากการเตรียมความพร้อมแล้ว ยังมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้านที่สนับสนุนให้ วีเอสที อีซีเอส ก้าวสู่การเป็น One-Stop-Shop IT Services คือ
1. การมีสินค้าที่ดี หลากหลาย มากกว่า 50 แบรนด์ และยังเป็นแบรนด์ระดับโลกที่มีความต้องการของตลาดสูง
2. การมีฐานะทางการเงิน
ที่แข็งแกร่ง ธนาคารจึงให้การสนับสนุนอย่างดี ส่งผลให้มีต้นทุนในการบริหารงานถูกลง
3. วีเอสที อีซีเอส เป็นองค์กรที่มีพนักงานระดับผู้บริหารที่ร่วมงานกับองค์กรมาอย่างยาวนาน ทำให้มีความเข้าใจ
ในธุรกิจ เข้าใจในคู่ค้า เพราะตลอด 33 ปีในธุรกิจ IT Distributor ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมาถึงตรงนี้ นับตั้งแต่ปี 2017 วีเอสที
อีซีเอส ก็เติบโตมาตลอด และสามารถผ่านพ้นทุกวิกฤติที่เข้ามาได้อย่างดี
สมศักดิ์กล่าวต่อว่า วีเอสที อีซีเอส
ยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายธุรกิจไปสู่
การเป็นผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าด้วย เพราะปัจจุบัน เทรนด์ของรถไฟฟ้าได้รับความนิยมมากขึ้น โดยมองว่าภายในไม่กี่ปีข้างหน้ารถยนต์ไฟฟ้าจะได้รับความนิยมสูงมาก แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น วีเอสที อีซีเอส เชื่อว่าภายใน 5 ปีข้างหน้ารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจะเป็นสิ่งที่มาก่อน
“เราเปิดธุรกิจใหม่ ด้วยการเป็น
ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า
2 แบรนด์คือ Thomas และ iMotor ตอนนี้อยู่ในช่วงเริ่มต้น เราเชื่อว่ารถยนต์ไฟฟ้านั้นจะต้องบูมอย่างแน่นอน แต่ภายใน 5 ปีจากนี้ สิ่งที่จะมาก่อนคือ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า แล้วรถยนต์ไฟฟ้าถึงจะตามมา เพราะตอนนี้รถยนต์ไฟฟ้ายังมีปัญหาเรื่องระยะเวลาการชาร์จไฟฟ้าที่นานเกินไป หากสามารถทำได้ในเวลา 20-30 นาที รถยนต์ไฟฟ้าก็จะเกิดขึ้นได้เร็ว”
โดยตลาดรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในตลาดต่างจังหวัด เช่น ตาก สุรินทร์ และนครปฐม ส่วน
จังหวัดอื่นๆ เริ่มมียอดขายเข้ามาบ้างแล้ว และมีแนวโน้มการเติบโตค่อนข้างดี
ส่วนตลาดรถยนต์ไฟฟ้านั้น วีเอสที อีซีเอส มองเรื่องการทำตลาดกับอุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น อุปกรณ์ชาร์จไฟฟ้า แบตเตอรี่ และยังมองถึง
การจับมือกับพันธมิตรหลายๆ ราย
เพื่อเป็นผู้ให้บริการติดตั้งสถานี
ชาร์จไฟฟ้าตามอาคารต่างๆ ด้วย
ลุยโปรเจ็กต์ Data Transformation
เปลี่ยนระบบงานพร้อม Go Digital
สมศักดิ์กล่าวว่า การแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 นับเป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญอย่างมาก ในการผลักดันให้องค์กรธุรกิจทุกอุตสาหกรรมต้องมีการขับเคลื่อนโครงการ Digital Transformation โดย
วีเอสที อีซีเอส ได้เตรียมความพร้อม
ในเรื่องนี้อย่างเข้มข้น มีการขับเคลื่อนโครงการที่เรียกว่า “Data Transformation” เพื่อโยกข้อมูลในระบบทั้งหมดขึ้น
สู่ออนไลน์ ถือเป็นการปรับเปลี่ยน
ครั้งใหญ่ ที่นำรูปแบบการทำงานที่มีมานานกว่า 30 ปี ขึ้นไปรันบนระบบ Cloud เพื่อเพิ่ม Productivity ให้สูงสุด
วีเอสที อีซีเอส ยังมองเห็นเทรนด์จากการเป็น IT Distributor ด้วยว่า แม้สภาพเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี ในภาพรวมแล้วตลาดไอทีก็ยังสามารถพยุงตัวได้ แม้ว่า
จะไม่ได้เติบโตระดับ 2 หลัก แต่มุมมอง
ที่เห็นชัดเจนคือ การที่ไอทีได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถเพิ่ม Productivity ในการทำงาน และถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกองค์กรจะต้องมีในขณะนี้ โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของไวรัส Covid-19 ที่ผู้คนระมัดระวัง
ในการใช้ชีวิต บทบาทของไอทีก็ยิ่งมี
ความสำคัญมากขึ้นไปอีก
“วีเอสที อีซีเอส ขับเคลื่อนโครงการ Data Transformation ด้วยการนำข้อมูลทุกอย่างขึ้นสู่ออนไลน์ทั้งหมด ผู้บริหาร
ทุกคนจะสามารถบริหารจัดการบุคลากรของตัวเองได้แบบเรียลไทม์ เห็นภาพ
การทำงานที่กว้างและชัดเจนขึ้น เราได้ยกเลิกโครงการขยายสำนักงานแห่งใหม่ เพราะมองว่าไม่มีความจำเป็นอีกแล้ว หลังจากที่สามารถบริหารจัดการได้ด้วยการทำ Data Transformation ยิ่งเมื่อเจอกับการระบาดของ Covid-19 ยิ่งชัดเจนมากว่าเราต้องเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น”
โปรเจ็กต์ Data Transformation
ช่วยให้ วีเอสที อีซีเอส สามารถจัดการองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยนำข้อมูลในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการเบิกจ่าย วันเข้างานของพนักงานขึ้นระบบ Cloud เพื่อให้ผู้บริหารทุกคนสามารถเห็นข้อมูลในมุมมองที่กว้างขึ้น และมีเวลาพอ
ที่จะเน้นในด้านการวางแผนงาน
สมศักดิ์ยอมรับว่า การทำ Data Transformation มีความท้าทายสูง เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำแผนสำรองฉุกเฉิน จึงต้องลงมาขับเคลื่อนโปรเจ็กต์นี้ด้วยตัวเอง ตั้งแต่ขั้นวางแผน การจัดการข้อมูล การลงทุนซอฟต์แวร์และอุปกรณ์
ที่จำเป็นต้องใช้ โดยเปิดให้แผนกต่างๆ แจ้งความต้องการเข้ามาว่าต้องการบริหารทีมงานลักษณะใด ก่อนจะให้ทีมงานพัฒนาระบบขึ้นมา กระบวนการเหล่านี้ค่อนข้างซับซ้อน แต่หากมองในด้านการลงทุนนั้นถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะตั้งแต่เริ่มโปรเจ็กต์นี้ใช้เงินลงทุนไปเพียง 3 ล้านบาทเท่านั้น
“การวางแผนที่มุ่งเน้นสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคง ต้องเข้าใจธุรกิจเป็นอย่างดี ตีโจทย์ธุรกิจให้แตก รู้จุดแข็งขององค์กรชัดเจน และต้องส่งเสริมสิ่งที่มีอยู่ได้โดยที่ไม่ได้หักล้างวัฒนธรรมการทำงานแบบเดิม สามารถยืดหยุ่นให้บุคลากรทำงานได้สะดวกขึ้น องค์กรก็ต้องรับฟังมากขึ้น แล้วพนักงานจะพร้อมสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจให้ก้าวไปอย่างมั่นคง”
ผนึก HPE สร้างอินฟราฯ Pay-Per-Use
หนุนการเติบโตธุรกิจในอนาคต
สมศักดิ์กล่าวว่า อีกหนึ่งฟันเฟือง
ที่สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ คือการมีโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน สามารถสนับสนุนการเติบโตตามแผนงานและเป้าหมายขององค์กร โดย วีเอสที อีซีเอส ซึ่งมีประสบการณ์และอยู่ในตลาดไอที
มายาวนาน เมื่อถึงเวลาที่ต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที ได้เลือกเป็นพันธมิตรกับ Hewlett Packard Enterprise ประเทศไทย (HPE) โดยการเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีเดิมทั้งหมด
ให้กลายเป็น Hybrid Cloud ที่คิดค่าใช้จ่ายแบบ Pay-Per-Use ด้วยบริการ HPE GreenLake
ในอดีต วีเอสที อีซีเอส ลงทุนฮาร์ดแวร์โครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีเองทั้งหมด เพราะเป็น Distributor จึงทำให้ได้ราคาถูก แต่ปัจจุบันมีการปรับปรุงกระบวน
การทำงานเพื่อให้เกิด Productivity สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ซึ่งการเปลี่ยนกระบวน
การทำงาน โดยยังคงประสิทธิภาพสูงสุดเอาไว้ จะต้องมั่นใจว่าเทคโนโลยีหลังบ้านต้องพร้อมรองรับความเปลี่ยนแปลง
ได้อย่างทันท่วงที ซึ่ง HPE GreenLake ตอบโจทย์นี้ได้เป็นอย่างดี
“เราร่วมมือกับ HPE ในการ Implement ระบบ Check-in online และรันทุกอย่างบน HPE GreenLake โดยมีเป้าหมายว่าภายในปี 2022 จะประกาศยกเลิกระเบียบการเข้างานตามเวลา เพื่อให้พนักงาน
มีอิสระในการทำงานมากขึ้น สอดรับกับวิถีชีวิตแบบ New Normal และจะวัดประสิทธิภาพการทำงานจาก Productivity โดยดูจากรายงานการทำงานบน
ระบบแทน”
สมศักดิ์กล่าวว่า สาเหตุที่เลือกใช้ HPE GreenLake เพราะระบบไอทีของ วีเอสที อีซีเอส ถือเป็นหัวใจสำคัญของบริษัท และจะหยุดชะงักไม่ได้ เนื่องจากต้องดูแลสินค้ามากกว่า 50 แบรนด์ มี Part Number มากกว่า 10 ล้าน Part Number ดังนั้น
จึงต้องการระบบไอทีที่อยู่ในประเทศ สามารถควบคุมได้ ประกอบกับ วีเอสที
อีซีเอส เป็นพันธมิตรกับ HPE มายาวนาน จึงตัดสินใจเปลี่ยนระบบเก่าเป็น HPE GreenLake ทั้งหมด และยังสามารถ
สร้างดาต้าเซ็นเตอร์สำรองแห่งที่ 2
เพื่อทำงานแบบ 24x7 ได้อีกด้วย
บริการ HPE GreenLake ยังสามารถขจัดปัญหาเรื่องการดูแลระบบได้อย่างมาก โดยในระบบเดิมนั้น หลายองค์กร
อาจประสบปัญหาด้านการต่อสัญญา Maintenance Service Agreement (MA) ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาภายหลัง แต่การใช้ HPE GreenLake จะทำให้ปัญหาเหล่านี้ไม่เกิดขึ้น เพราะ HPE จะดูแลให้ทั้งหมด
“เราเลือกใช้ HPE GreenLake เพราะเป็นการเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที ให้กลายเป็น Utility ที่คิดค่าใช้จ่าย
ตามการใช้จริง เพิ่มหรือลดทรัพยากรไอทีได้ตามต้องการ ไม่จำเป็นต้องจัดซื้อ
เร่งด่วนเพื่อนำมาติดตั้งใช้งาน ไม่ต้องกังวลเรื่อง Capacity ที่จำกัดจากการซื้อครั้งแรก และไม่ต้องห่วงเรื่องการต่อสัญญา MA
ทั้ง 2 เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ขององค์กร
ที่เคยลงทุนระบบไอทีด้วยตัวเอง”
สมศักดิ์กล่าวต่อว่า บริการ HPE GreenLake ยังช่วยให้องค์กรไม่จำเป็นต้องใช้เงินทุนก้อนโต เพราะโมเดลค่าใช้จ่ายถูกคิดตามการใช้งานจริง ตัวอย่างเช่น ในอดีตมีการลงทุนระบบ ERP ด้วยงบประมาณราว 30 ล้านบาท ได้เครดิต 30 วันในการชำระ แต่เมื่อเป็น HPE GreenLake ซึ่งคิดค่าบริการเป็นรายเดือน ทำให้องค์กรไม่ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่
ในครั้งเดียว แต่สามารถนำวงเงินที่เหลือไปบริหารเพื่อสร้างให้เกิด Productivity สูงสุดได้ ซึ่ง วีเอสที อีซีเอส เชื่อว่า HPE Greenlake สามารถตอบโจทย์ทางธุรกิจได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ติดตามคอลัมน์ CEO Talk ได้ในวารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนสิงหาคม 2564 ฉบับที่ 472
ในรูปแบบดิจิทัล : https://goo.gl/U6OnIi Shopee : https://bit.ly/3xvjpM